คำถามยาก ๆ เกี่ยวกับการรักษาโรคโดยฤทธิ์เดช

มีคำถามเพิ่มเติมหรือเปล่า?

เราอยากที่จะคุยกับคุณเกี่ยวกับคำถามที่คุณมี และเสนอแหล่งข้อมูลเพิ่มเติมที่จะช่วยให้คุณศึกษาและเติบโตมากขึ้น ติดต่อเราได้เลยเพื่อเริ่มต้นการพูดคุยกัน

ต้องการหนังสือการรักษาโรคโดยฤทธิ์เดช?

 

แหล่งข้อมูลทั้งหมดคุณสามารถเข้าถึง และแบ่งปันให้คนอื่นได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ดาวน์โหลดด้านล่างหรือดูที่หน้าแหล่งข้อมูลของเรา

เมื่อเร็วๆ นี้ ผมรู้สึกเจ็บปวดเมื่อได้ยินเกี่ยวกับศิษยาภิบาลคนหนึ่งที่ประกาศต่อสาธารณะว่าเป็นโรคมะเร็งลุกลามซึ่งมีแนวโน้มว่าจะคร่าชีวิตเขาเว้นแต่เขาจะได้รับปาฏิหาริย์ การแจ้งข่าวเรื่องความเจ็บป่วยของเขาทำให้ผมปวดใจ แต่ศาสนศาสตร์และวิธีที่เขาขอคำอธิษฐานจากเพื่อน ครอบครัว และสมาชิกในโบสถ์อาจยิ่งทำให้รู้สึกปวดใจมากขึ้นไปอีก แน่นอนว่าเมื่อคุณเผชิญกับการพยากรณ์โรคแบบเดียวกับเขา มันจะยิ่งรู้สึกเกินจะรับไหว โดยเฉพาะเมื่อแพทย์ไม่ได้ให้ความหวังใด ๆ เลย เขาพูดหลายอย่างที่ทรงพลัง เขาบอกว่าเขาจะสู้ เขาบอกว่าเขาจะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ทางยาเพื่อทำให้อาการดีขึ้น (ผมคิดบวกเสมอเกี่ยวกับคนที่ยอมทำทุกทางตามวิถีทางยาควบคู่ไปกับการอธิษฐาน ผมเชื่อว่าทุกสิ่งที่ใช้ต่อสู้กับความเจ็บป่วยเป็นสิ่งมาจากพระเจ้า ดังนั้น ผมมักจะทำทุกอย่างที่ทำได้ในทางการแพทย์) อย่างไรก็ตาม ในความพยายามอย่างจริงใจที่จะปลอบโยนผู้อื่นในช่วงที่ตนเองเจอพายุร้าย เขาเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ออกมาว่า: “ชีวิตของผมเป็นของพระองค์ และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร เราวางใจในพระองค์”

 

เมื่อมองแวบแรก นั่นฟังดูไม่เหมือนศาสนศาสตร์ที่เลวร้ายอะไร นอกจากนี้ การวิจารณ์คำพูดของใครบางคนเมื่อพวกเขากำลังประสบปัญหาและส่วนคุณไม่มีปัญหานั้นมันง่ายกว่ากันเยอะ ผมได้อ่านข่าวคราวต่างๆ มากมายจากท่าน ภรรยา คริสตจักรซึ่งเป็นครอบครัวของเขา และอ่านความคิดเห็นมากมายและแม้แต่ชุดคำเทศนาเกี่ยวกับการผ่านสถานการณ์ที่ยากลำบากเพื่อพยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับศาสนศาสตร์ของเขา เมื่อถูกถามว่าทุกคนควรจะอธิษฐานเผื่อท่านอย่างไรดี ท่านไม่ได้ตอบว่า “ขอให้ผมมีชีวิตอยู่และไม่ตาย และขอให้ผมเอาชนะความเจ็บป่วยนี้ผ่านพระวจนะของพระเจ้าและพระนามของพระเยซู ซึ่งสัญญากับผมว่าจะหายเป็นปกติ” เขาขอกำลังไม่มากก็น้อยเพื่อให้อดทนต่อการเจ็บป่วยได้ ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นไร และท่านขอคำอธิษฐานให้ลูกๆ เข้มแข็งในขณะที่เจอกับการทดลองครั้งนี้

 

ผมอยากจะระมัดระวังเป็นกรณีพิเศษ เนื่องจากชายที่ยอดเยี่ยมคนนี้ยังคงดำเนินผ่านการทดลองใจ และเรื่องราวยังไม่จบ ผมหวังและอธิษฐานให้เขาเต็มไปด้วยความรู้ถึงพระประสงค์ของพระเจ้า เพื่อเขาจะยอมรับพระประสงค์ทั้งหมดสมบูรณ์ของพระเจ้าที่จะรักษาโรคของเขาให้หาย ผมไม่ต้องการที่จะเฉื่อยชาในเรื่องนี้ แต่ในขณะเดียวกัน ผมต้องการที่จะพูดอย่างกล้าหาญในสิ่งที่ควรจะพูด หลายคนกลัวที่จะจัดการกับเรื่องนี้โดยตรงเพราะอาจทำให้คนฟังขุ่นเคือง ผมขอบอกอะไรบางอย่างนะ: ถ้าผมกำลังจะตายไปทั้งๆ ที่มีทางรักษา แต่ผมเชื่ออย่างผิดๆ ว่าไม่มีทางรักษา (แม้ว่าจะมีอยู่) อันที่จริง ผมเชื่อหมดใจว่าไม่มีทางรักษา และสิ่งที่คุณคิดอยู่นั้นมันผิดเห็นๆ - ผมก็ยังต้องการให้คุณบอกผมเรื่องโอกาสในการรักษาต่อไป ช่วยสำแดงให้ผมเห็น และแบ่งปันเรื่องราวความสำเร็จ - แม้ว่าผมจะดื้อรั้นในเรื่องนี้ ใครจะรู้? สักวันหนึ่ง ผมอาจจะเปลี่ยนใจใหม่ก็ได้ ถ้าคุณรักผม คุณต้องบอกความจริงกับผม แม้ว่าผมไม่อยากฟังก็ตาม

 

คุณรู้หรือไม่ว่าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะรักษาโรคให้หาย หลายคนไม่ทราบเรื่องนี้ พวกเขาได้รับแนวคิดแปลกๆ จากคนที่ไม่ได้ยึดตามศาสนศาสตร์ของพระคัมภีร์ แต่มาจากประสบการณ์ส่วนตัวเป็นหลัก คริสเตียนมีสองประเภท กลุ่มหนึ่งใช้ประสบการณ์และลดระดับพระคัมภีร์ให้อยู่ในระดับประสบการณ์ (พระคัมภีร์ควรมีสิทธิอำนาจสูงกว่าประสบการณ์ของคุณเสมอ) กลุ่มที่สองจะพิจารณาพระคัมภีร์และเปรียบเทียบกับประสบการณ์ของพวกเขา หากประสบการณ์ของพวกเขาไม่ตรงกับมาตรฐานระดับสูงของพระคัมภีร์ พวกเขาจะถามคำถามที่ยาก เช่น: “ถ้าพระเยซูทรงพระชนม์อยู่จริง และพระองค์สัญญาว่าพระองค์จะไม่ทรงทอดทิ้งเราหรือหลงลืมเราเสีย แล้วทำไมจึงดูเหมือนว่าข้าพระองค์กำลังเผชิญสิ่งเหล่าเพียงลำพัง” พวกเขาจะถามว่า “ถ้าพระคัมภีร์สัญญาว่าจะประทานการรักษา แล้วทำไมประสบการณ์ของผมไม่สอดคล้องกับพระสัญญาของพระเจ้า” พวกเขาจะไม่ยอมรับในสิ่งอื่น ยกเว้นสิ่งที่ดีที่สุดของพระเจ้า พวกเขาปฏิเสธที่จะลดระดับพระวจนะของพระเจ้าลงมาเท่าในประสบการณ์ของตน และพยายามอธิบายพระสัญญาหลายร้อยข้อเรื่องการรักษาโรคให้หมดฤทธิ์เดชไปเสีย แต่พวกเขาทำเหมือนที่อับราฮัมทำ และพวกเขาปฏิเสธที่จะพิจารณาร่างกายของตนเอง อย่างที่คุณพ่อของผมชอบพูดว่า ไม่ใช่ว่าอับราฮัมแสร้งทำเป็นว่าเขาไม่มีร่างกายเดิมตอนที่เขายอมรับพระสัญญาของพระเจ้า แต่พระคัมภีร์กล่าวว่าเขาไม่ถือว่าร่างกายของเขาเป็นอุปสรรคนั่งเอง นั่นหมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าเขารับคำสัญญาของพระเจ้าเป็นหลักฐานที่สูงกว่า และเขาปฏิเสธที่จะถือว่าร่างกายของเขาเองเป็นหลักฐานที่สูงกว่าพระสัญญาของพระเจ้า [ดู โรม 4:17-21]

 

เราก็ต้องทำแบบเดียวกัน หากพระวจนะของพระเจ้าสัญญาที่จะประทานการรักษาโดยฤทธิ์เดช แต่ร่างกายบอกว่าเราป่วย เราจะไม่ถือว่าร่างกายของเราเป็นหลักฐานเพียงพอที่จะสงสัยในพระสัญญาเรื่องการรักษาจากพระเจ้า มาตอบคำถามยากๆ กันดีกว่าว่า ทำไม? เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นคำถามเกี่ยวกับชีวิตและความตาย ความแตกต่างระหว่างการมีชีวิตอยู่หรือตายไปเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณเชื่อว่าคำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้คืออะไร ผมรู้เรื่องนี้ ไม่ใช่เพราะผมเรียนมา แต่เพราะพระเจ้าทรงชุบผมให้เป็นขึ้นมาใหม่จากการนอนแซ่วอยู่กับเตียงแห่งความตาย ผมดีใจที่มีคำตอบที่ถูกต้องสำหรับคำถามเจ็ดข้อนี้ ถ้าไม่อย่างนั้น ผมคงไม่มีชีวิตอยู่เพื่อจะเขียนถึงเรื่องนี้

 

ผมกำลังออกไปทำพันธกิจ แต่จู่ๆ ก็ป่วยด้วยโรคที่ไม่ทราบสาเหตุ มันทำให้ผมหูหนวกไปหมด ผมเข้าสู่ภาวะไตวายทั้งระบบ ผมเข้าสู่ภาวะตับวายทั้งหมด ผมมีอาการหัวใจวายครั้งใหญ่ ปอดของผมถูกโจมตี ผมมีออกซิเจนลดลงเหลือเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์และสมองของผมถูกโจมตีด้วยโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ มีไข้สูงถึง 105.5 หมอบอกว่าผมไม่มีทางรอดผ่านช่วงสุดสัปดาห์นั้นไปแน่ และเขาก็ไม่รู้จะช่วยอะไรได้ แต่ในท่ามกลางพายุร้ายครั้งนี้ ผมปฏิเสธที่จะยอมรับสภาพร่างกายของตนเองและรายงานทางการแพทย์ ผมเข้าสู่การทำสงคราม ป่าวประกาศพระวจนะของพระเจ้ามาเหนือร่างกาย ผมยังมีอาการเข่าแตกหักซึ่งเกิดขึ้นก่อนหน้าการเจ็บป่วยครั้งนี้หกวัน

 

หกวันหลังจากมีคนมาแจ้งประกาศตัดสินประหารชีวิตไปแล้ว ผมก็เดินออกจากโรงพยาบาลโดยไม่ได้รับความเสียหายที่หัวใจ ไม่ทำลายสมอง ไม่ทำลายตับ ไม่ทำลายไต และไม่ทำลายปอด ผมหายเป็นปกติ และผมยังได้รับโบนัส เมื่อพวกเขาตรวจสอบข้อที่หักของผมเพื่อดูอาการก่อนออกจากโรงพยาบาล มันโดนเข้าเฝือกไว้ 12 วัน และควรจะต้องเข้าเฝือกต่อถึง 6 สัปดาห์ แต่มันหายเป็นปกติแล้ว และผมก็ออกจากโรงพยาบาลโดยไม่มีเฝือกและหายจากโรคร้ายแรง ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้แบบง่ายๆ ไหม? ไม่เลย ผมต้องต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด ผมอธิษฐานทะลุทะลวง ผมป่าวประกาศพระวจนะ ผมปฏิเสธที่จะยอมรับข้อมูลของแพทย์

 

ไตของผมใช้เวลาสามวันในการหายจากภาวะไตวาย ซึ่งทำให้แพทย์ตกใจมาก ตับของผมต้องใช้เวลาอีกสามวันในการหายจากภาวะตับวาย ผมต้องพูดพระวจนะของพระเจ้าทั้งวันทั้งคืนเป็นเวลาหกวัน จนกระทั่งการหายโรคทั้งหมดจะเกิดขึ้นจริง แต่ความเชื่อของผมไม่ได้ตั้งอยู่บนความรู้สึกหรือประสบการณ์ของผม แต่อยู่บนพระวจนะของพระเจ้า

วิธีที่คุณตอบคำถามต่อไปนี้ในวันหนึ่งอาจหมายถึงชีวิตหรือความตายสำหรับคุณก็ได้ ดังนั้น ผมจึงเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา

 

คำถามทั้งหมดมีอะไรบ้าง? นั่นคือ

 

  1. การรักษาโรคมีไว้สำหรับทุกคนจริงหรือไม่? 
  1. เหตุใดบางคนที่มีความเชื่อจริง ๆ ไม่ได้รับการรักษาให้หาย? 
  1. พระเจ้ารักษาบางคนโดยพาพวกเขากลับบ้านไปสวรรค์ แทนที่จะรักษาพวกเขาให้หายบนโลกใช่หรือไม่? 
  1. ความบาปอาจทำให้คนไม่หายโรคได้หรือไม่? 
  1. เราจะแสวงหาความเชื่อเพื่อให้ตนเองได้รับการรักษาได้อย่างไร? 
  1. เป็นไปได้ไหมที่จะมีความเชื่อมากพอที่จะได้รับรักษาให้หาย แต่ก็ยังล้มเหลวไม่ได้รับการรักษาจากพระเจ้า? 
  1. การรักษาโรคจากพระเจ้า เป็นส่วนหนึ่งของการลบบาปที่ไม้กางเขน สำหรับทุกคนที่เชื่อใช่หรือไม่? 

เป็นความเชื่อของเราที่ว่าพระเยซูทรงจัดเตรียมการรักษาโรคสำหรับทุกคนแล้วที่บนไม้กางเขน เป็นความหวังของเราว่า ทุกคนที่อ่านหนังสือเล่มนี้จะเต็มไปด้วยความเชื่อ และจะได้รับการเยียวยารักษาจากพระเจ้าในร่างกายของตน จากสิ่งใดก็ตามที่ทำให้พวกเขาป่วยอยู่ จุดยืนอย่างเป็นทางการขององค์การอากาเป้ อินเตอร์เนชั่นแนล (Agape International) ก็คือการรักษาโรคมีไว้สำหรับทุกคน เช่นเดียวกับความรอด ในหนังสือเล่มนี้ เราจะตอบคำถามที่กล่าวถึงข้างต้นโดยละเอียดโดยใช้พระคัมภีร์ เรายินดีต้อนรับคำถาม การโต้แย้ง มุมมองที่แตกต่าง และเราจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อตอบคำถามของคุณ

 

สดุดี 103:2 “ผู้ทรงอภัยบาปทั้งสิ้นของข้าพเจ้า และทรงรักษาโรคทั้งสิ้นของข้าพเจ้า” สดุดี 107:20: “พระองค์ทรงส่งพระวจนะของพระองค์ไปรักษาพวกเขา” 1 เปโตร 2:24: “โดยรอยแผลเฆี่ยนของพระองค์ เราจึงหายดี”

เมื่อผมตั้งคำถามว่า “การหายโรคมีไว้สำหรับทุกคนจริงหรือ?” ผมกำลังถามแบบเฉพาะเจาะจงมาก ผมไม่ได้หมายความกว้างๆ เชิงศาสนา ผมไม่ได้พูดถึงเวลาที่นักเทศน์ต้องการบางสิ่งที่ฟังดูฉลาดและเคร่งศาสนาสำหรับงานศพของเด็กที่จากเราไปก่อนวัยอันควร เขาจึงกล่าวอย่างครอบคลุมเพื่อพยายามปกป้องพระเจ้าในขณะเดียวกันก็พยายามทำความเข้าใจถึงการสูญเสียที่เกิดขึ้นแบบอธิบายยาก บางครั้งคำตอบที่ดีที่สุดคือการสำแดงความรักแก่คนที่กำลังเจ็บปวดและอย่าใช้เวลานี้พูดในสิ่งที่ผู้พูดไม่ค่อยรู้เรื่องจริงๆ ผมกล้าพูดว่าศาสนศาสตร์ที่ย่ำแย่ที่สุดเกี่ยวกับการรักษาโรค การไม่หายโรค การตายก่อนวัยอันควร พระประสงค์ของพระเจ้าเกี่ยวกับความเจ็บป่วย และความเชื่อเกี่ยวกับชะตากรรมได้ตกทอดสืบต่อกันมา ไม่ใช่โดยผู้ที่ศึกษาพระคัมภีร์อย่างลึกซึ้งหรือผู้สั่งสอนมาหลายชั่วอายุคน หรือครูสอนพระคัมภีร์อันมีหลักในครอบครัวของพวกเขา – แต่โดยกลุ่มคนที่คว้าฟางเส้นสุดท้ายไว้ในยามเช่นนี้ คำพูดที่มีชื่อเสียงเริ่มต้นในคราวเดียวหรือหลายครั้งจากใครบางคนที่ป่าวประกาศข้อความติดหูผู้คน มันส่งต่อๆ กันไป และหลังจากผ่านไปหลายทศวรรษ มันก็กลายเป็นคำสอนที่คนยอมรับกันราวกับเป็นพระคัมภีร์เสียเอง

 

คุณเคยได้ยินคำกล่าวเหล่านี้ไหมว่า “ความสะอาดอยู่ถัดไปจากความชอบธรรม” หรือ “จิตที่เกียจคร้านเป็นห้องทำงานของมาร” หรือ “พระเจ้าช่วยผู้ที่ช่วยเหลือตนเอง” แล้วประโยคนี้ล่ะ: “พระเจ้าจะไม่ทรงประทานสิ่งใดให้คุณเกินกว่าที่คุณจะรับไหว”? ถ้าคุณถามคริสเตียนโดยเฉลี่ยว่ามีข้อความเหล่านี้กี่ข้ออยู่ในพระคัมภีร์ ส่วนใหญ่จะตอบว่าทั้งหมดเป็นคำสอนของพระคัมภีร์ ผมท้าได้เลยว่าคริสเตียน 9 ใน 10 คนที่ไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์จะบอกคุณว่าอย่างน้อยหนึ่งในสี่ข้อความนี้มีอยู่ในพระคัมภีร์ บางคนใช้เวลาทั้งชั่วโมงในการเทศนาเกี่ยวกับคำสาปจากรุ่นต่อรุ่น แต่วลีที่ว่าการสาปแช่งในรุ่นต่อรุ่นไม่มีอยู่เลยในพระคัมภีร์

 

คุณแปลกใจไหมที่รู้ว่าไม่มีข้อความใดในสี่ประโยคที่ผมถามไว้อยู่ในพระคัมภีร์เลย อันที่จริงแล้วข้อความเหล่านี้ไม่เป็นความจริงด้วยซ้ำ เป็นเรื่องที่น่าสนใจที่คนเราเชื่อในคำสอนต่างๆ เพียงเพราะว่ามันมีการสืบทอดต่อกันมาหลายชั่วอายุคน

 

มีหลายครั้งที่ผมรู้คำตอบว่าทำไมคนๆ นั้นถึงตายไปก่อนเวลาอันควรในขณะที่ผมเทศนาในงานศพของเขา บางครั้งมันก็ชัดเจนจริงๆ แต่ผมรู้ว่างานศพไม่ใช่เวลาที่จะแบ่งปันความเชื่อของผมเพื่อโต้แย้งกับความเชื่อที่ไม่ถูกต้องที่มีมายาวนานของพวกเขาเกี่ยวกับพระประสงค์ของพระเจ้า และคำอธิบายว่าพระเจ้าต้องการทูตสวรรค์อีกองค์ไปรับใช้ในสวรรค์ (นี่ก็แปลกอีก คนตายไปไม่ได้กลายเป็นทูตสวรรค์ แต่ผมก็ไม่พยายามแก้ไขคำสอนผิดๆ พวกนี้ในขณะที่พวกเขากำลังผ่านความเจ็บปวด เก็บไว้สอนในโอกาสต่อไปดีกว่า) ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้แก้ไขความเชื่อผิดๆ ในตอนนั้น แต่ผมก็ไม่ได้โกหกเพื่อให้พวกเขารู้สึกดีขึ้น ผมพบพื้นที่กึ่งกลาง มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสอนให้ครอบคลุมถึงความเชื่อเหล่านี้ที่มีมาช้านาน เพื่อที่จะตอบคำถามว่าเรื่องการรักษาโรคนั้นเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าสำหรับทุกคนเสมอ ผมเชื่อว่าพระเจ้าต้องการรักษาทุกคนในทุกครั้ง แต่เพื่อที่จะสอนสิ่งนี้ ผมต้องจัดการกับคำสอนผิดๆ ที่ผู้คนถูกยัดเยียดมาหลายชั่วอายุคน

 

ที่งานศพ มีการโกหกทุกประเภท คนหนึ่งจะพูดถึงความดูดีของศพ ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าคนที่นอนในโลงศพดูไม่เหมือนเดิมเลย ตอนที่ผมอายุได้สิบเจ็ดปี ผมโชคร้ายที่ได้เห็นปู่ของผมตายและนอนอยู่ในโลงศพ จนถึงจุดนั้น ผมเคยเห็นคนหลายคนนอนอยู่ในโลงมาก่อนแล้ว แต่ไม่ใช่คนที่ผมรู้จักใกล้ชิดเหมือนนิ้วบนฝ่ามือ ผมรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้ การที่แว่นของคุณปู่วางห่างๆ จากดั้งจมูก ผมรู้จักโทนสีผิวของท่าน ท่านใส่แว่นตลอด แต่คงไม่ต้องใส่ตอนนอนในโลงศพ ดูเหมือนว่าพวกเขาแต่งโทนสีผิวของคุณปู่ผิดไป ผมสังเกตดูร่างของท่านอยู่สักสองสามนาที และผมต้องเชื่อคำพูดของคนอื่นว่าปู่ของผมเป็นผู้ชายในกล่องไม้สนตัวนั้นจริงๆ ปู่ของผม บางคนเรียกท่านว่าดิดดี้ มีมือที่เป็นสมกับลูกผู้ชาย มือของท่านดูผอมและไร้ประโยชน์ คุณคงเข้าใจประเด็นนะ มันเป็นเรื่องโกหก ท่านไม่ได้ดูดีเลย แต่ทุกคนก็เดินขึ้นไปหาคุณย่าวอล์คเกอร์และพูดคำเดียวกันว่า “เขาดูเหมือนกำลังแค่นอนหลับอย่างสงบสุข เขาดูดีมาก เขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยม” จากนั้นทุกคนก็กลับบ้านไป แน่นอน นั่นคือธรรมชาติของมนุษย์ ผู้คนไม่ค่อยแน่ใจว่าควรจะพูดอะไรออกมา แต่พวกเขารู้สึกว่าจำเป็นต้องพูดอะไรบางอย่าง

 

ปู่ของผมเป็นคนดีมาก แต่ผมเคยไปงานศพอื่นๆ ที่นักเทศน์และทุกๆ คนที่นั่นจะพูดถึงว่าคนๆ นั้นยอดเยี่ยมแค่ไหนทั้งๆ ที่ทุกคนก็รู้ว่าเขาเป็นวายร้าย ผมเคยไปงานศพของชายที่ชอบตบตีภรรยา เขาเป็นขี้เมาที่หลงทางไปจากความเชื่อ แต่นักเทศน์พยายามเทศนาส่งเขาขึ้นสวรรค์โดยตรง ผมไม่โทษพวกเขา คงไม่มีใครอยากเป็นนักเทศน์ที่ขึ้นไปที่นั่นแล้วพูดว่า “พี่น้องที่รัก เราอยู่ที่นี่เพื่อเฉลิมฉลองชีวิตของคนตลบตะแลงคนนี้ที่ใช้ชีวิตทั้งชีวิตอยู่เพื่อซาตาน และตอนนี้เขาได้รับสิ่งที่สาสมแล้ว เขาปฏิเสธพระคริสต์ในชีวิตนี้ และตอนนี้พระเจ้าได้ทรงปฏิเสธเขาชั่วนิรันดร์ เขาตายำปและหลังจากนั้นก็เป็นการพากษา เขาได้ยินคำพูดที่ไม่มีใครอยากได้ยินว่า ‘เจ้าผู้กระทำความชั่ว จงไปให้พ้นหน้าเรา เข้าไปในไฟนรก ซึ่งเตรียมไว้สำหรับมารและทูตของมัน'” ผมไม่เคยพูดแบบนั้นแน่นอน แต่ตั้งแต่เป็นหนุ่มมา ผมก็ตั้งใจว่าจะไม่เทศนาราวกับประกาศส่งตัวเขาขึ้นสวรรค์ในทันที ราวกับว่าไม่มีความแตกต่างระหว่างผู้หลงทางกับผู้ที่รอดแล้ว ผมไม่ได้เทศนายืนยันว่าเขากำลังเข้าสู่สวรรค์ ผมจดจ่ออยู่กับสิ่งดีๆ ที่พวกเขาทำขณะมีชีวิตบนโลก บอกกับทุกคนว่าไม่มีใครรู้ว่าคนๆ หนึ่งจะกลับคืนดีกับพระเจ้าหรือไม่ตอนใด นอกจากตัวเขาเอง และใช้โอกาสนั้นเพื่อให้ช่วยคนอื่นๆ ได้รับความรอด

 

ทำไมผมถึงเอ่ยถึงรายละเอียดเหล่านี้ทั้งหมด? ผู้คนมักมองหาคำอธิบายว่าทำไมสิ่งเลวร้ายจึงเกิดขึ้นกับคนดีๆ พวกเขามักจะโกหกเรื่องคนไม่ดีและเทศนาส่งพวกเขาเข้าสวรรค์ ในทำนองเดียวกัน นักเทศน์ที่มีเจตนาดีก็ใช้ธรรมาสน์โกหกว่าเหตุใดคนดีจึงเจ็บป่วย ผมได้ยินมาหมดแล้ว – โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีคนเสียชีวิตด้วยโรคบางอย่าง “พระเจ้าต้องการทูตสวรรค์อีกองค์ในสวรรค์” ยังกับว่าข้อความนั้นจะช่วยปลอบโยนเด็กวัย 7 ขวบบางคนได้ โดยบอกพวกเขาว่าพระเจ้าต้องการตัวบุคคลอันเป็นที่รักของเด็กมากกว่าที่เด็กต้องการเสียอีก ไม่น่าแปลกใจเลยที่เด็ก 7 ขวบเติบโตขึ้นมาด้วยความขมขื่นต่อพระเจ้าที่รับพ่อของเขาไป! ถ้ามีคนป่วยเป็นมะเร็งและตาย ก็จะมีบางคนพูดว่า “พระเจ้าต้องการให้พวกเขาไปสวรรค์และช่วยดูแลแปลงดอกไม้ในสวรรค์” ผมเกลียดการเป็นคนหยาบคาย แต่แม้แต่เด็กน้อยก็ยังรู้ดีกว่านั้นว่า พระเจ้ามีทูตสววรค์ที่สามารถทำงานแบบนั้นได้ นอกจากนี้ ดอกไม้ในสวรรค์ยังต้องตายด้วยหรือ? ผมคิดว่าไม่มีความตายในสวรรค์และไม่มีวัชพืช? ท้ายที่สุด ไม่มีคำสาปแช่งในสวรรค์ พระเจ้าไม่ต้องการสมาชิกในครอบครัวของผมที่นั่น ผมต้องการพวกเขามากกว่าบนโลกนี้ แล้วพระองค์ต้องให้พวกเขาป่วยด้วยโรคมะเร็งเป็นเวลาสองปีก่อนที่จะพาพวกเขาไปช่วยงานสวนในสวรรค์? ศาสนศาสตร์มันไม่สมเหตุสมผล ดังนั้น ขอให้เรามาพูดถึงสิ่งที่พระคัมภีร์สอนไว้จริงๆ ดีกว่า

 

พระเจ้าตอบคำถามพระประสงค์ของพระองค์ครั้งเดียวและตลอดไป

 

ในมัทธิว 8 เราอ่านพบเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ เป็นครั้งเดียวที่มีคนเคยถามพระเยซูแบบตรงๆ เกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระเจ้า หนึ่งในคำอธิษฐานที่ทำลายความเชื่อมากที่สุดที่คุณสามารถอธิษฐานได้คือ “หากเป็นน้ำพระทัยของพระองค์” พระเยซูไม่เคยอธิษฐานแบบนี้เมื่อพระองค์กำลังอธิษฐานเผื่อคนเจ็บป่วย คนทุกข์ยาก หรือความเจ็บปวด อันที่จริง กิจการ 10:38 กล่าวว่าพระเยซู “เสด็จไปทำความดีและรักษาคนทั้งปวงที่ถูกมารเบียดเบียน” เราได้รับคำสอนอย่างชัดเจนว่าซาตานกำลังเบียดเบียนผู้คน และพระเยซูทรงขจัดความเจ็บปวดออกไป ความเจ็บป่วยถูกเรียกว่ากิจการของมารในกิจการ 10:38 และพระเยซูทรงปฏิบัติต่อความเจ็บป่วยเหมือนศัตรูของพระองค์เอง

 

ผมพยายามหาข้อใดข้อหนึ่งที่จะยืนยันว่าพระเยซูมองความเจ็บป่วยเป็นเหมือนเพื่อน เหมือนกับบางสิ่งที่พระองค์อยากเก็บไว้ใกล้ตัว เพื่อประโยชน์บางอย่างในบางวัน แต่ผมก็หาไม่พบ อันที่จริง พระเยซูทรงเผชิญหน้ากับความเจ็บป่วย (ซึ่งมีหลายครั้ง) พระเยซูตรัสถึงความเจ็บป่วยด้วยคำรุนแรง พระองค์มักจะเรียกความเจ็บป่วยตามชื่อ ในบางครั้ง พระองค์ถึงกับเรียกชื่อวิญญาณชั่วตามอาการป่วย ดูเหมือนจะไม่ใช่สิ่งที่คุณจะทำหากคุณตั้งใจจะใช้การเจ็บป่วยไปในทางบวก เหตุใดคุณจึงเรียกชื่อวิญญาณชั่วตามอาการป่วย ถ้าคุณตั้งใจจะใช้การเจ็บป่วยในทางบวกในภายหลัง เช่น "เพื่อสอนบทเรียน" หรือ "ทำให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้น" (มีคนอธิบายว่าพระเจ้าใช้ความเจ็บป่วยเพื่อสอนเรา) โดยปกติแล้ว พระองค์ทรงขนาบความเจ็บป่วยและโรคภัย และพระองค์ทรงบัญชาให้มันออกไปจากคน และบางครั้ง พระองค์ดูจะทรงโกรธเคืองความเจ็บป่วยนั้นมากทีเดียว

 

ย้อนกลับไปที่แมทธิว 8 … มีคนโรคเรื้อนคนหนึ่งทูลขอความช่วยเหลือจากพระเยซู ในข้อ 1-3 เขาทูลกับพระเยซูว่า “หากพระองค์ทรงประสงค์ พระองค์ก็สามารถทำให้ข้าพระองค์หายสะอาดได้” นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนส่วนใหญ่ขอกันในวันนี้ใช่หรือไม่ ไม่มีใครถามว่าพระเจ้าสามารถรักษาโรคได้หรือไม่ แต่พวกเขาไม่ค่อยแน่ใจว่าพระองค์มีน้ำพระทัยที่จะรักษาโรคหรือไม่มากกว่า เนื่องจากนี่เป็นเพียงตอนเดียวที่มีคนถามพระเยซูว่าพระองค์มีพระประสงค์หรือไม่ที่จะรักษาโรค เราจึงควรใส่ใจกับคำตอบของพระองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “พระเจ้าไม่ทรงเห็นแก่หน้าผู้ใด” สิ่งที่พระองค์ทำเพื่อใครคนหนึ่ง ดูเหมือนว่าพระองค์ทรงประสงค์จะทำเพื่อทุกคน คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่าพระเจ้าต้องการให้ “มนุษย์ทุกคนได้รับความรอดและมารู้จักความจริง (1 ทิโมธี 2:4)” น่าสนใจที่ไม่มีใครเถียงว่า คำว่า "รอด" โซโซ่ ในที่นี้คือคำว่าโซโซในภาษากรีก หมายถึง “รอดจากบาป หายจากโรคภัยไข้เจ็บ รอดพ้น ปกป้อง รักษา และทำให้หายเป็นปกติในทุกวิถีทาง” อันที่จริง คำว่า โซโซ่ เป็นภาษากรีกที่เทียบเท่ากับคำว่า โซโซ่ เป็นภาษากรีกที่เทียบเท่ากับคำว่า ชาโลม ในพันธสัญญาเดิม ซึ่งแปลว่า "ไม่มีอะไรขาดหายไปและไม่มีอะไรแตกหัก สันติภาพอันสมบูรณ์และความมั่งคั่ง” ดังนั้น พระคัมภีร์บอกไว้ชัดเจนว่า พระเจ้าทรงประสงค์ให้ “มนุษย์ทุกคนได้รับความรอด หายโรค รับการปลดปล่อย ปกป้อง รักษาไว้ และครบถ้วนสมบูรณ์” ใช่เลย

 

พระองค์เผยชัดเจนว่าเป็นความปรารถนาของพระองค์ที่มนุษย์ทุกคนได้รับ ความรอดไม่มีอะไรหายไปและไม่มีอะไรเสียหาย พระองค์ทรงต้องการให้ทุกคนรู้ถึงความจริงอันน่าอัศจรรย์นี้ คุณรู้ไหม ผมได้ศึกษามาอย่างใกล้ชิด และดูเหมือนจะไม่พบที่ใดเลยที่พระเยซูปฏิเสธการรักษาผู้ที่มาหาพระองค์ด้วยความเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นชาวยิวหรือคนต่างชาติ เป็นคำสอนที่ชั่วร้ายของมนุษย์ที่กักขังผู้คนในความมืดมิดและกันพวกเขาให้พ้นจากความรู้เรื่องความจริงในสิ่งที่เป็นสิทธิของพวกเขาในพระเยซู พระเยซูต้องการให้เราหายและหายเป็นปกติ ฮีบรู 1:1-3 สอนว่าพระเยซูทรงเป็นแบบพิมพ์ที่ชัดเจนของพระบิดา พระองค์ทรงเป็นภาพที่สมบูรณ์ของพระเจ้า พระบิดาทรงคิดและกระทำอย่างไร ด้วยเหตุนี้พระเยซูจึงตรัสกับฟีลิปว่า “เมื่อท่านเห็นเรา ท่านได้เห็นพระบิดาแล้ว” ถ้าอยากรู้ว่าพระบิดาคิดอย่างไรเกี่ยวกับการรักษาโรค ให้ถามพระเยซู! ดูชีวิตของพระเยซู พระเยซูตรัสว่า “เราไม่เคยทำอะไรที่ไม่เห็นพระบิดาทรงกระทำ พระบิดาทรงทำพระราชกิจอยู่” ว้าว! พระเยซูตรัสว่าไม่ใช่พระองค์ด้วยซ้ำที่รักษาคนให้หายโรค พระบิดาบนสวรรค์โดยทางพระเยซูทรงรักษาผู้คนและสำแดงให้เรารู้ถึงพระประสงค์ของพระองค์ชัดเจนตลอดไปเป็นนิตย์

 

ในหนังสือเล่มนี้ เรากำลังดูคำถาม 7 ข้อที่หากตอบผิดๆ อาจนำเราถึงความตายได้ เพราะมันอาจนำไปสู่โรคภัยไข้เจ็บ ความเจ็บป่วย ความเจ็บปวด และแม้กระทั่งการตายก่อนวัยอันควร หนึ่งในคำสอนเหล่านี้ ผมหวังว่าจะได้แบ่งปันกับคุณว่าการตอบคำถามเหล่านี้ให้ถูกต้องและการใช้พระวจนะของพระเจ้าช่วยผมได้อย่างไรจากการนอนซมอยู่เตียงแห่งความตาย แต่ผมจะแบ่งปันเรื่องราวของผมบางส่วนไปเรื่อยๆ ในขณะที่เราค่อยๆ แบ่งปันไป ผมยังไม่มีเวลาที่จะเล่าเรื่องราวทั้งหมดในตอนนี้ แต่ผมจะบอกคุณว่าคำถามเหล่านี้มีความสำคัญเพียงใด ไม่นานมานี้ ผมป่วยอยู่ในห้องไอซียูที่เชียงใหม่ ประเทศไทย คงจำได้ว่าก่อนหน้านี้ผมบอกคุณว่าผมป่วยเป็นโรคที่ไม่รู้จัก มิชชันนารีอีกคนหนึ่งมีอาการเดียวกันหลังจากว่ายน้ำในทะเลสาบ เขาป่วยเป็นโรคหายากที่เรียกว่าเลปโตสไปโรซิส มีเพียง 1 ใน 100,000 เท่านั้นที่เจ็บป่วยแบบนี้ แต่จากผู้ที่ได้รับแล้ว ไม่ถึง 10% กลับเสียชีวิต ถ้ามันกลายเป็นอันตรายถึงชีวิตมันจะเกิดขึ้นเร็วมาก ผู้ป่วยมักจะเข้าสู่ภาวะไตวายและตับวาย นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับผม และจากอาการที่เหมือนกัน โรคฉี่หนูอาจเป็นสาเหตุของโรคนี้ ออกซิเจนของผมอยู่ที่ 70% พวกเขาบอกผมว่าถ้าผมไปถึง 69% ผมจะต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ผมยังคงมองดูที่มอนิเตอร์ มันจะเพิ่มขึ้นเป็น 72% จากนั้น 71% แล้วก็ 70% อีกครั้ง ผมจะพูดกับเครื่องเหมือนคนบ้าว่า "ในนามพระเยซูเจ้าต้องไม่ต่ำกว่า 70%!" ผมต่อสู้กับสิ่งนี้เป็นเวลาสองชั่วโมง มันเกือบจะเข้ามาใกล้ แต่ก็ไม่เคยลดลงต่ำกว่า 70% ในที่สุดมันก็ขึ้นไปถึง 78% และผมก็เข้านอน สรรเสริญพระเจ้า! ผมบอกคุณว่าผมมีอาการหัวใจวายเฉียบพลัน โรคหลอดเลือดสมอง และเยื่อหุ้มสมองอักเสบที่เกิดขึ้นในสมองของผม แต่ผมก็หายจากโรคที่เกี่ยวเนื่องจากตับและไตวาย หมอบอกว่าสายเกินไปแล้วที่จะช่วยผม ผู้เชี่ยวชาญหลายคนบอกผมว่า อาการล้มเหลวในไตและตับของผมนั้นรุนแรงมากและขยายตัวไปอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถเรียกใช้สีย้อมเพื่อดูว่าหัวใจได้รับความเสียหายมากเพียงใด ผมอาจมีเลือดออกภายใน ไม่มีอะไรทำได้เลยทำนอกจากบอกลาครอบครัว

 

ผมยึดหลักการซึ่งกำลังจะแบ่งปันกับท่านในหน้าต่อไปนี้ และประยุกต์ใช้กับชีวิตของผม ด้วยความเชื่อเพียงเล็กน้อยที่ผมสามารถรวบรวมได้ ผมได้กล่าวพระวจนะของพระเจ้าเรื่องการรักษาโรคของตัวเอง ผมถูกทิ้งให้ตาย พวกเขาไม่ได้ให้มาตรการช่วยชีวิตผมเลย พวกเขาบอกว่า ผมจะตายในปลายสัปดาห์นั้น พระวจนะของพระเจ้าทำให้ผมกลับมามีชีวิตอีกครั้ง หลังจากประกาศการรักษาไตของผมเป็นเวลาสามวัน มันก็เพิ่มขึ้นเป็น 86% อย่างกะทันหัน สารพิษที่อยู่ในตับของผมอยู่ที่ 14,000 ในวันที่ 4 พวกเขามันลดลงไปที่ 10,000; วันที่ 5 ลดเหลือ 5,000 และวันที่ 6 ก็เหลือเพียง 18 ซึ่งถือเป็นภาวะปกติแล้ว แพทย์ไม่พบความเสียหายของหัวใจหลังจากทำการทดสอบหัวใจสามครั้ง รวมถึงการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจสองครั้ง พวกเขาไม่พบหลักฐานของโรคหลอดเลือดสมองที่แสดงให้เห็นเมื่อวันก่อน ผมเดินออกจากโรงพยาบาลในหนึ่งสัปดาห์โดยหายเป็นปกติในนามของพระเยซู ทุกอย่างมีเอกสารบันทึกไว้ทั้งหมด วิธีที่คุณตอบคำถามเหล่านี้อาจหมายถึงชีวิตหรือความตายสำหรับคุณ! ผมไม่ได้รอจนกระทั่งตกอยู่ในสถานการณ์นี้เพื่อค้นหาคำตอบ ผมรู้อยู่แล้ว คุณจำเป็นต้องรู้ว่าพระวจนะของพระเจ้าตรัสว่าอย่างไร เพื่อว่าถ้าคุณตกอยู่ในสถานการณ์แห่งชีวิตหรือความตาย คุณจะรู้ว่าต้องทำอย่างไร

คุณเคยได้ยินคำกล่าวเหล่านี้ไหมว่า “ความสะอาดอยู่ถัดไปจากความชอบธรรม” หรือ “จิตที่เกียจคร้านเป็นห้องทำงานของมาร” หรือ “พระเจ้าช่วยผู้ที่ช่วยเหลือตนเอง” แล้วประโยคนี้ล่ะ: “พระเจ้าจะไม่ทรงประทานสิ่งใดให้คุณเกินกว่าที่คุณจะรับไหว”? ถ้าคุณถามคริสเตียนโดยเฉลี่ยว่ามีข้อความเหล่านี้กี่ข้ออยู่ในพระคัมภีร์ ส่วนใหญ่จะตอบว่าทั้งหมดเป็นคำสอนของพระคัมภีร์ ผมท้าได้เลยว่าคริสเตียน 9 ใน 10 คนที่ไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์จะบอกคุณว่าอย่างน้อยหนึ่งในสี่ข้อความนี้มีอยู่ในพระคัมภีร์ บางคนใช้เวลาทั้งชั่วโมงในการเทศนาเกี่ยวกับคำสาปจากรุ่นต่อรุ่น แต่วลีที่ว่าการสาปแช่งในรุ่นต่อรุ่นไม่มีอยู่เลยในพระคัมภีร์

คุณแปลกใจไหมที่รู้ว่าไม่มีข้อความใดในสี่ประโยคที่ผมถามไว้อยู่ในพระคัมภีร์เลย อันที่จริงแล้วข้อความเหล่านี้ไม่เป็นความจริงด้วยซ้ำ เป็นเรื่องที่น่าสนใจที่คนเราเชื่อในคำสอนต่างๆ เพียงเพราะว่ามันมีการสืบทอดต่อกันมาหลายชั่วอายุคน

มีหลายครั้งที่ผมรู้คำตอบว่าทำไมคนๆ นั้นถึงตายไปก่อนเวลาอันควรในขณะที่ผมเทศนาในงานศพของเขา บางครั้งมันก็ชัดเจนจริงๆ แต่ผมรู้ว่างานศพไม่ใช่เวลาที่จะแบ่งปันความเชื่อของผมเพื่อโต้แย้งกับความเชื่อที่ไม่ถูกต้องที่มีมายาวนานของพวกเขาเกี่ยวกับพระประสงค์ของพระเจ้า และคำอธิบายว่าพระเจ้าต้องการทูตสวรรค์อีกองค์ไปรับใช้ในสวรรค์ (นี่ก็แปลกอีก คนตายไปไม่ได้กลายเป็นทูตสวรรค์ แต่ผมก็ไม่พยายามแก้ไขคำสอนผิดๆ พวกนี้ในขณะที่พวกเขากำลังผ่านความเจ็บปวด เก็บไว้สอนในโอกาสต่อไปดีกว่า) ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้แก้ไขความเชื่อผิดๆ ในตอนนั้น แต่ผมก็ไม่ได้โกหกเพื่อให้พวกเขารู้สึกดีขึ้น ผมพบพื้นที่กึ่งกลาง มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสอนให้ครอบคลุมถึงความเชื่อเหล่านี้ที่มีมาช้านาน เพื่อที่จะตอบคำถามว่าเรื่องการรักษาโรคนั้นเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าสำหรับทุกคนเสมอ ผมเชื่อว่าพระเจ้าต้องการรักษาทุกคนในทุกครั้ง แต่เพื่อที่จะสอนสิ่งนี้ ผมต้องจัดการกับคำสอนผิดๆ ที่ผู้คนถูกยัดเยียดมาหลายชั่วอายุคน

ที่งานศพ มีการโกหกทุกประเภท คนหนึ่งจะพูดถึงความดูดีของศพ ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าคนที่นอนในโลงศพดูไม่เหมือนเดิมเลย ตอนที่ผมอายุได้สิบเจ็ดปี ผมโชคร้ายที่ได้เห็นปู่ของผมตายและนอนอยู่ในโลงศพ จนถึงจุดนั้น ผมเคยเห็นคนหลายคนนอนอยู่ในโลงมาก่อนแล้ว แต่ไม่ใช่คนที่ผมรู้จักใกล้ชิดเหมือนนิ้วบนฝ่ามือ ผมรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้ การที่แว่นของคุณปู่วางห่างๆ จากดั้งจมูก ผมรู้จักโทนสีผิวของท่าน ท่านใส่แว่นตลอด แต่คงไม่ต้องใส่ตอนนอนในโลงศพ ดูเหมือนว่าพวกเขาแต่งโทนสีผิวของคุณปู่ผิดไป ผมสังเกตดูร่างของท่านอยู่สักสองสามนาที และผมต้องเชื่อคำพูดของคนอื่นว่าปู่ของผมเป็นผู้ชายในกล่องไม้สนตัวนั้นจริงๆ ปู่ของผม บางคนเรียกท่านว่าดิดดี้ มีมือที่เป็นสมกับลูกผู้ชาย มือของท่านดูผอมและไร้ประโยชน์ คุณคงเข้าใจประเด็นนะ มันเป็นเรื่องโกหก ท่านไม่ได้ดูดีเลย แต่ทุกคนก็เดินขึ้นไปหาคุณย่าวอล์คเกอร์และพูดคำเดียวกันว่า “เขาดูเหมือนกำลังแค่นอนหลับอย่างสงบสุข เขาดูดีมาก เขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยม” จากนั้นทุกคนก็กลับบ้านไป แน่นอน นั่นคือธรรมชาติของมนุษย์ ผู้คนไม่ค่อยแน่ใจว่าควรจะพูดอะไรออกมา แต่พวกเขารู้สึกว่าจำเป็นต้องพูดอะไรบางอย่าง

ปู่ของผมเป็นคนดีมาก แต่ผมเคยไปงานศพอื่นๆ ที่นักเทศน์และทุกๆ คนที่นั่นจะพูดถึงว่าคนๆ นั้นยอดเยี่ยมแค่ไหนทั้งๆ ที่ทุกคนก็รู้ว่าเขาเป็นวายร้าย ผมเคยไปงานศพของชายที่ชอบตบตีภรรยา เขาเป็นขี้เมาที่หลงทางไปจากความเชื่อ แต่นักเทศน์พยายามเทศนาส่งเขาขึ้นสวรรค์โดยตรง ผมไม่โทษพวกเขา คงไม่มีใครอยากเป็นนักเทศน์ที่ขึ้นไปที่นั่นแล้วพูดว่า “พี่น้องที่รัก เราอยู่ที่นี่เพื่อเฉลิมฉลองชีวิตของคนตลบตะแลงคนนี้ที่ใช้ชีวิตทั้งชีวิตอยู่เพื่อซาตาน และตอนนี้เขาได้รับสิ่งที่สาสมแล้ว เขาปฏิเสธพระคริสต์ในชีวิตนี้ และตอนนี้พระเจ้าได้ทรงปฏิเสธเขาชั่วนิรันดร์ เขาตายำปและหลังจากนั้นก็เป็นการพากษา เขาได้ยินคำพูดที่ไม่มีใครอยากได้ยินว่า ‘เจ้าผู้กระทำความชั่ว จงไปให้พ้นหน้าเรา เข้าไปในไฟนรก ซึ่งเตรียมไว้สำหรับมารและทูตของมัน'” ผมไม่เคยพูดแบบนั้นแน่นอน แต่ตั้งแต่เป็นหนุ่มมา ผมก็ตั้งใจว่าจะไม่เทศนาราวกับประกาศส่งตัวเขาขึ้นสวรรค์ในทันที ราวกับว่าไม่มีความแตกต่างระหว่างผู้หลงทางกับผู้ที่รอดแล้ว ผมไม่ได้เทศนายืนยันว่าเขากำลังเข้าสู่สวรรค์ ผมจดจ่ออยู่กับสิ่งดีๆ ที่พวกเขาทำขณะมีชีวิตบนโลก บอกกับทุกคนว่าไม่มีใครรู้ว่าคนๆ หนึ่งจะกลับคืนดีกับพระเจ้าหรือไม่ตอนใด นอกจากตัวเขาเอง และใช้โอกาสนั้นเพื่อให้ช่วยคนอื่นๆ ได้รับความรอด

ทำไมผมถึงเอ่ยถึงรายละเอียดเหล่านี้ทั้งหมด? ผู้คนมักมองหาคำอธิบายว่าทำไมสิ่งเลวร้ายจึงเกิดขึ้นกับคนดีๆ พวกเขามักจะโกหกเรื่องคนไม่ดีและเทศนาส่งพวกเขาเข้าสวรรค์ ในทำนองเดียวกัน นักเทศน์ที่มีเจตนาดีก็ใช้ธรรมาสน์โกหกว่าเหตุใดคนดีจึงเจ็บป่วย ผมได้ยินมาหมดแล้ว – โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีคนเสียชีวิตด้วยโรคบางอย่าง “พระเจ้าต้องการทูตสวรรค์อีกองค์ในสวรรค์” ยังกับว่าข้อความนั้นจะช่วยปลอบโยนเด็กวัย 7 ขวบบางคนได้ โดยบอกพวกเขาว่าพระเจ้าต้องการตัวบุคคลอันเป็นที่รักของเด็กมากกว่าที่เด็กต้องการเสียอีก ไม่น่าแปลกใจเลยที่เด็ก 7 ขวบเติบโตขึ้นมาด้วยความขมขื่นต่อพระเจ้าที่รับพ่อของเขาไป! ถ้ามีคนป่วยเป็นมะเร็งและตาย ก็จะมีบางคนพูดว่า “พระเจ้าต้องการให้พวกเขาไปสวรรค์และช่วยดูแลแปลงดอกไม้ในสวรรค์” ผมเกลียดการเป็นคนหยาบคาย แต่แม้แต่เด็กน้อยก็ยังรู้ดีกว่านั้นว่า พระเจ้ามีทูตสววรค์ที่สามารถทำงานแบบนั้นได้ นอกจากนี้ ดอกไม้ในสวรรค์ยังต้องตายด้วยหรือ? ผมคิดว่าไม่มีความตายในสวรรค์และไม่มีวัชพืช? ท้ายที่สุด ไม่มีคำสาปแช่งในสวรรค์ พระเจ้าไม่ต้องการสมาชิกในครอบครัวของผมที่นั่น ผมต้องการพวกเขามากกว่าบนโลกนี้ แล้วพระองค์ต้องให้พวกเขาป่วยด้วยโรคมะเร็งเป็นเวลาสองปีก่อนที่จะพาพวกเขาไปช่วยงานสวนในสวรรค์? ศาสนศาสตร์มันไม่สมเหตุสมผล ดังนั้น ขอให้เรามาพูดถึงสิ่งที่พระคัมภีร์สอนไว้จริงๆ ดีกว่า

พระเจ้าตอบคำถามพระประสงค์ของพระองค์ครั้งเดียวและตลอดไป

ในมัทธิว 8 เราอ่านพบเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ เป็นครั้งเดียวที่มีคนเคยถามพระเยซูแบบตรงๆ เกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระเจ้า หนึ่งในคำอธิษฐานที่ทำลายความเชื่อมากที่สุดที่คุณสามารถอธิษฐานได้คือ “หากเป็นน้ำพระทัยของพระองค์” พระเยซูไม่เคยอธิษฐานแบบนี้เมื่อพระองค์กำลังอธิษฐานเผื่อคนเจ็บป่วย คนทุกข์ยาก หรือความเจ็บปวด อันที่จริง กิจการ 10:38 กล่าวว่าพระเยซู “เสด็จไปทำความดีและรักษาคนทั้งปวงที่ถูกมารเบียดเบียน” เราได้รับคำสอนอย่างชัดเจนว่าซาตานกำลังเบียดเบียนผู้คน และพระเยซูทรงขจัดความเจ็บปวดออกไป ความเจ็บป่วยถูกเรียกว่ากิจการของมารในกิจการ 10:38 และพระเยซูทรงปฏิบัติต่อความเจ็บป่วยเหมือนศัตรูของพระองค์เอง

ผมพยายามหาข้อใดข้อหนึ่งที่จะยืนยันว่าพระเยซูมองความเจ็บป่วยเป็นเหมือนเพื่อน เหมือนกับบางสิ่งที่พระองค์อยากเก็บไว้ใกล้ตัว เพื่อประโยชน์บางอย่างในบางวัน แต่ผมก็หาไม่พบ อันที่จริง พระเยซูทรงเผชิญหน้ากับความเจ็บป่วย (ซึ่งมีหลายครั้ง) พระเยซูตรัสถึงความเจ็บป่วยด้วยคำรุนแรง พระองค์มักจะเรียกความเจ็บป่วยตามชื่อ ในบางครั้ง พระองค์ถึงกับเรียกชื่อวิญญาณชั่วตามอาการป่วย ดูเหมือนจะไม่ใช่สิ่งที่คุณจะทำหากคุณตั้งใจจะใช้การเจ็บป่วยไปในทางบวก เหตุใดคุณจึงเรียกชื่อวิญญาณชั่วตามอาการป่วย ถ้าคุณตั้งใจจะใช้การเจ็บป่วยในทางบวกในภายหลัง เช่น "เพื่อสอนบทเรียน" หรือ "ทำให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้น" (มีคนอธิบายว่าพระเจ้าใช้ความเจ็บป่วยเพื่อสอนเรา) โดยปกติแล้ว พระองค์ทรงขนาบความเจ็บป่วยและโรคภัย และพระองค์ทรงบัญชาให้มันออกไปจากคน และบางครั้ง พระองค์ดูจะทรงโกรธเคืองความเจ็บป่วยนั้นมากทีเดียว

ย้อนกลับไปที่แมทธิว 8 … มีคนโรคเรื้อนคนหนึ่งทูลขอความช่วยเหลือจากพระเยซู ในข้อ 1-3 เขาทูลกับพระเยซูว่า “หากพระองค์ทรงประสงค์ พระองค์ก็สามารถทำให้ข้าพระองค์หายสะอาดได้” นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนส่วนใหญ่ขอกันในวันนี้ใช่หรือไม่ ไม่มีใครถามว่าพระเจ้าสามารถรักษาโรคได้หรือไม่ แต่พวกเขาไม่ค่อยแน่ใจว่าพระองค์มีน้ำพระทัยที่จะรักษาโรคหรือไม่มากกว่า เนื่องจากนี่เป็นเพียงตอนเดียวที่มีคนถามพระเยซูว่าพระองค์มีพระประสงค์หรือไม่ที่จะรักษาโรค เราจึงควรใส่ใจกับคำตอบของพระองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “พระเจ้าไม่ทรงเห็นแก่หน้าผู้ใด” สิ่งที่พระองค์ทำเพื่อใครคนหนึ่ง ดูเหมือนว่าพระองค์ทรงประสงค์จะทำเพื่อทุกคน คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่าพระเจ้าต้องการให้ “มนุษย์ทุกคนได้รับความรอดและมารู้จักความจริง (1 ทิโมธี 2:4)” น่าสนใจที่ไม่มีใครเถียงว่า คำว่า "รอด" โซโซ่ ในที่นี้คือคำว่าโซโซในภาษากรีก หมายถึง “รอดจากบาป หายจากโรคภัยไข้เจ็บ รอดพ้น ปกป้อง รักษา และทำให้หายเป็นปกติในทุกวิถีทาง” อันที่จริง คำว่า โซโซ่ เป็นภาษากรีกที่เทียบเท่ากับคำว่า โซโซ่ เป็นภาษากรีกที่เทียบเท่ากับคำว่า ชาโลม ในพันธสัญญาเดิม ซึ่งแปลว่า "ไม่มีอะไรขาดหายไปและไม่มีอะไรแตกหัก สันติภาพอันสมบูรณ์และความมั่งคั่ง” ดังนั้น พระคัมภีร์บอกไว้ชัดเจนว่า พระเจ้าทรงประสงค์ให้ “มนุษย์ทุกคนได้รับความรอด หายโรค รับการปลดปล่อย ปกป้อง รักษาไว้ และครบถ้วนสมบูรณ์” ใช่เลย

พระองค์เผยชัดเจนว่าเป็นความปรารถนาของพระองค์ที่มนุษย์ทุกคนได้รับ ความรอดไม่มีอะไรหายไปและไม่มีอะไรเสียหาย พระองค์ทรงต้องการให้ทุกคนรู้ถึงความจริงอันน่าอัศจรรย์นี้ คุณรู้ไหม ผมได้ศึกษามาอย่างใกล้ชิด และดูเหมือนจะไม่พบที่ใดเลยที่พระเยซูปฏิเสธการรักษาผู้ที่มาหาพระองค์ด้วยความเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นชาวยิวหรือคนต่างชาติ เป็นคำสอนที่ชั่วร้ายของมนุษย์ที่กักขังผู้คนในความมืดมิดและกันพวกเขาให้พ้นจากความรู้เรื่องความจริงในสิ่งที่เป็นสิทธิของพวกเขาในพระเยซู พระเยซูต้องการให้เราหายและหายเป็นปกติ ฮีบรู 1:1-3 สอนว่าพระเยซูทรงเป็นแบบพิมพ์ที่ชัดเจนของพระบิดา พระองค์ทรงเป็นภาพที่สมบูรณ์ของพระเจ้า พระบิดาทรงคิดและกระทำอย่างไร ด้วยเหตุนี้พระเยซูจึงตรัสกับฟีลิปว่า “เมื่อท่านเห็นเรา ท่านได้เห็นพระบิดาแล้ว” ถ้าอยากรู้ว่าพระบิดาคิดอย่างไรเกี่ยวกับการรักษาโรค ให้ถามพระเยซู! ดูชีวิตของพระเยซู พระเยซูตรัสว่า “เราไม่เคยทำอะไรที่ไม่เห็นพระบิดาทรงกระทำ พระบิดาทรงทำพระราชกิจอยู่” ว้าว! พระเยซูตรัสว่าไม่ใช่พระองค์ด้วยซ้ำที่รักษาคนให้หายโรค พระบิดาบนสวรรค์โดยทางพระเยซูทรงรักษาผู้คนและสำแดงให้เรารู้ถึงพระประสงค์ของพระองค์ชัดเจนตลอดไปเป็นนิตย์

ในหนังสือเล่มนี้ เรากำลังดูคำถาม 7 ข้อที่หากตอบผิดๆ อาจนำเราถึงความตายได้ เพราะมันอาจนำไปสู่โรคภัยไข้เจ็บ ความเจ็บป่วย ความเจ็บปวด และแม้กระทั่งการตายก่อนวัยอันควร หนึ่งในคำสอนเหล่านี้ ผมหวังว่าจะได้แบ่งปันกับคุณว่าการตอบคำถามเหล่านี้ให้ถูกต้องและการใช้พระวจนะของพระเจ้าช่วยผมได้อย่างไรจากการนอนซมอยู่เตียงแห่งความตาย แต่ผมจะแบ่งปันเรื่องราวของผมบางส่วนไปเรื่อยๆ ในขณะที่เราค่อยๆ แบ่งปันไป ผมยังไม่มีเวลาที่จะเล่าเรื่องราวทั้งหมดในตอนนี้ แต่ผมจะบอกคุณว่าคำถามเหล่านี้มีความสำคัญเพียงใด ไม่นานมานี้ ผมป่วยอยู่ในห้องไอซียูที่เชียงใหม่ ประเทศไทย คงจำได้ว่าก่อนหน้านี้ผมบอกคุณว่าผมป่วยเป็นโรคที่ไม่รู้จัก มิชชันนารีอีกคนหนึ่งมีอาการเดียวกันหลังจากว่ายน้ำในทะเลสาบ เขาป่วยเป็นโรคหายากที่เรียกว่าเลปโตสไปโรซิส มีเพียง 1 ใน 100,000 เท่านั้นที่เจ็บป่วยแบบนี้ แต่จากผู้ที่ได้รับแล้ว ไม่ถึง 10% กลับเสียชีวิต ถ้ามันกลายเป็นอันตรายถึงชีวิตมันจะเกิดขึ้นเร็วมาก ผู้ป่วยมักจะเข้าสู่ภาวะไตวายและตับวาย นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับผม และจากอาการที่เหมือนกัน โรคฉี่หนูอาจเป็นสาเหตุของโรคนี้ ออกซิเจนของผมอยู่ที่ 70% พวกเขาบอกผมว่าถ้าผมไปถึง 69% ผมจะต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ผมยังคงมองดูที่มอนิเตอร์ มันจะเพิ่มขึ้นเป็น 72% จากนั้น 71% แล้วก็ 70% อีกครั้ง ผมจะพูดกับเครื่องเหมือนคนบ้าว่า "ในนามพระเยซูเจ้าต้องไม่ต่ำกว่า 70%!" ผมต่อสู้กับสิ่งนี้เป็นเวลาสองชั่วโมง มันเกือบจะเข้ามาใกล้ แต่ก็ไม่เคยลดลงต่ำกว่า 70% ในที่สุดมันก็ขึ้นไปถึง 78% และผมก็เข้านอน สรรเสริญพระเจ้า! ผมบอกคุณว่าผมมีอาการหัวใจวายเฉียบพลัน โรคหลอดเลือดสมอง และเยื่อหุ้มสมองอักเสบที่เกิดขึ้นในสมองของผม แต่ผมก็หายจากโรคที่เกี่ยวเนื่องจากตับและไตวาย หมอบอกว่าสายเกินไปแล้วที่จะช่วยผม ผู้เชี่ยวชาญหลายคนบอกผมว่า อาการล้มเหลวในไตและตับของผมนั้นรุนแรงมากและขยายตัวไปอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถเรียกใช้สีย้อมเพื่อดูว่าหัวใจได้รับความเสียหายมากเพียงใด ผมอาจมีเลือดออกภายใน ไม่มีอะไรทำได้เลยทำนอกจากบอกลาครอบครัว

ผมยึดหลักการซึ่งกำลังจะแบ่งปันกับท่านในหน้าต่อไปนี้ และประยุกต์ใช้กับชีวิตของผม ด้วยความเชื่อเพียงเล็กน้อยที่ผมสามารถรวบรวมได้ ผมได้กล่าวพระวจนะของพระเจ้าเรื่องการรักษาโรคของตัวเอง ผมถูกทิ้งให้ตาย พวกเขาไม่ได้ให้มาตรการช่วยชีวิตผมเลย พวกเขาบอกว่า ผมจะตายในปลายสัปดาห์นั้น พระวจนะของพระเจ้าทำให้ผมกลับมามีชีวิตอีกครั้ง หลังจากประกาศการรักษาไตของผมเป็นเวลาสามวัน มันก็เพิ่มขึ้นเป็น 86% อย่างกะทันหัน สารพิษที่อยู่ในตับของผมอยู่ที่ 14,000 ในวันที่ 4 พวกเขามันลดลงไปที่ 10,000; วันที่ 5 ลดเหลือ 5,000 และวันที่ 6 ก็เหลือเพียง 18 ซึ่งถือเป็นภาวะปกติแล้ว แพทย์ไม่พบความเสียหายของหัวใจหลังจากทำการทดสอบหัวใจสามครั้ง รวมถึงการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจสองครั้ง พวกเขาไม่พบหลักฐานของโรคหลอดเลือดสมองที่แสดงให้เห็นเมื่อวันก่อน ผมเดินออกจากโรงพยาบาลในหนึ่งสัปดาห์โดยหายเป็นปกติในนามของพระเยซู ทุกอย่างมีเอกสารบันทึกไว้ทั้งหมด วิธีที่คุณตอบคำถามเหล่านี้อาจหมายถึงชีวิตหรือความตายสำหรับคุณ! ผมไม่ได้รอจนกระทั่งตกอยู่ในสถานการณ์นี้เพื่อค้นหาคำตอบ ผมรู้อยู่แล้ว คุณจำเป็นต้องรู้ว่าพระวจนะของพระเจ้าตรัสว่าอย่างไร เพื่อว่าถ้าคุณตกอยู่ในสถานการณ์แห่งชีวิตหรือความตาย คุณจะรู้ว่าต้องทำอย่างไร

นี่เป็นคำถามที่ยาก แต่เช่นเคย เรามองที่พระคัมภีร์เป็นคำตอบของเรา กี่ครั้งแล้วที่คุณได้ยินคนพูดว่า “ผมรู้ว่าคนนี้มีความเชื่อ คุณไม่สามารถบอกผมว่าพวกเขาไม่มีความเชื่อ พวกเขาเต็มไปด้วยความเชื่อ แต่พระเจ้าไม่ได้รักษาพวกเขา”? มีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องที่นี่ ประการแรก พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ใจคน เพียงเพราะคุณรู้สึกว่าบางคนมีความเชื่อ ไม่ได้หมายความว่าคนนั้นมีความเชื่อจริง คุณไม่ได้ใกล้ชิดกับคนๆ นี้ตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อฟังคำพูดของเขาหรือเธอ ผมจำชายคนหนึ่งที่กำลังจะตายด้วยโรคมะเร็ง ตอนผมไปเจอเขานั้น เขาอยู่ในสภาพที่ปล่อยให้ทุกอย่างสูญเปล่าไปเปล่าๆ เขาไม่ได้กินหรือดื่มมาหลายวันแล้ว และทุกคนกำลังรอให้วาระสุดท้ายมาถึง ผมใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงในพระคัมภีร์ไบเบิลกับเขาเพื่อสอนเขาเกี่ยวกับการรักษาโรค จากนั้นผมก็จับมือเขา เขามีความเชื่อเต็มเปี่ยมและเริ่มได้รับการรักษา อันที่จริงเขาขอนั่งบนเตียงแล้วให้คนนำอาหารมาให้กิน เขากินและกินอยู่หลายวัน ปัญหาคือมีคนหนึ่งในชีวิตของเขาเอาแต่พูดสงสัยและไม่เชื่อกับเขาตลอดทั้งวัน ผมได้อยู่กับเขาแค่ชั่วโมงเดียว คนนี้อยู่กับเขา 23 ชั่วโมงในวันนั้น และ 24 ชั่วโมงต่อวันในอีกหกวันข้างหน้า เขาควรจะตายภายในไม่กี่ชั่วโมง - อย่างมากก็ในหนึ่งวัน - เมื่อผมกลับไปเยี่ยมเขา เขายังมีชีวิตอยู่ในอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา แต่เขากลับมานอนอยู่บนเตียงและหยุดกินอีก ผมถามว่าจะเป็นไรไหมถ้าผมแบ่งปันกับเขาอีกครั้ง เขาตอบว่าได้และรู้สึกตื่นเต้น หลังจากสอนเรื่องการรักษาได้สามสิบนาที เขาก็ลุกขึ้นนั่งขอทานอาหารอีกครั้ง เขาสรรเสริญพระเจ้าและสารภาพว่าเขาได้รับการรักษาให้หายในพระนามของพระเยซู เขากินต่อไปและเปี่ยมด้วยศรัทธาและปีติยินดีอีกครั้ง เขายังนมัสการพระเจ้า เขาทานอาหารและอาการดีขึ้นเป็นเวลาหลายวันหลังจากประสบการณ์นี้ น่าเสียดายที่ยังมีคนอื่นในชีวิตของเขาที่พูดหว่านทั้งสงสัยและไม่เชื่ออยู่ตลอดเวลา ผู้ชายที่สวยคนนี้เริ่มพูดว่า “ผมไม่อยากเป็นภาระของคุณ ผมอยากกลับบ้านในสวรรค์แล้ว” เขาเริ่มติดกับดักคำพูดจากปากของเขาเองและความไม่เชื่อของคนใกล้ชิดที่สุดที่รายล้อมเขาทุกวัน ภายในอีกหนึ่งสัปดาห์ เขายอมจำนนต่อความเจ็บป่วยและเสียชีวิต ทั้งหมดที่ผมทำคือยื้อเวลาให้เขาได้สามสัปดาห์ ผมอยู่กับเขาแค่สองครั้ง และคำพูดเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับการรักษาที่เขาได้รับในช่วงเวลาสั้นๆ นั้นทำให้จิตใจของเขาดีขึ้นและทำให้อาการเขาดีขึ้น แต่ผมไม่สามารถอยู่กับเขาได้ตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อให้เขากล่าวยอมรับ พระวจนะของพระเจ้าเหนือตัวเองและอยู่รักษาตัวไว้ในความเชื่อ เสียดายที่ผมไม่มีโอกาสเช่นนั้น แม้แต่พระเยซูก็ไม่สามารถทำการอัศจรรย์ใดๆ ในบ้านเกิดของพระองค์ได้ในท่ามกลางกลุ่มคนที่คุ้นเคยกับพระองค์เพราะคนที่อยู่รอบๆ คนป่วยไม่มีความเชื่อ

 

พระวจนะของพระเจ้าตรัสอย่างไรเกี่ยวกับการมีความเชื่อที่ไร้ประโยชน์? ในยากอบ 2:17 “ทำนองเดียวกัน ลำพังความเชื่อ ถ้าไม่มีการปฏิบัติ ก็เป็นสิ่งที่ตายแล้ว” และอีกครั้งในข้อ 26: “กายที่ปราศจากจิตวิญญาณนั้นตายแล้วอย่างไร ความเชื่อที่ปราศจากการประพฤติก็ตายแล้วอย่างนั้น” คุณอาจมีความเชื่อมากพอที่จะเคลื่อนภูเขา แต่มันจะไม่ช่วยคุณถ้าคุณไม่มีประพฤติเข้ากับความเชื่อของคุณ การพูดพระวจนะของพระเจ้าเป็นวิธีลงมือทำตามความเชื่อ การลุกขึ้นและทำในสิ่งที่คุณไม่สามารถทำได้มาก่อนคือสิ่งที่คุณสามารถลงมือทำได้ แต่ความเชื่อต้องถูกนำไปปฏิบัติ การมีความเชื่อไม่ได้เท่ากันกับการรับพระพรจากพระเจ้าเสมอไป แต่ความเชื่อต้องมีการลงมือกระทำ คุณต้องเพิ่มการกระทำเข้ากับความเชื่อของคุณ และบางครั้ง การกระทำเหล่านั้นต้องอาศัยความพากเพียรตลอดเวลา

 

คำอุปมาเรื่องผู้พิพากษาอยุติธรรม

 

ลูกา 18:

 

พระเยซูตรัสอุปมาเรื่องหนึ่งให้พวกเขาฟัง เพื่อสอนว่าเขาทั้งหลายควรอธิษฐานอยู่เสมอและไม่อ่อนระอาใจ พระองค์ตรัสว่า “ในเมืองแห่งหนึ่งมีผู้พิพากษาอยู่คนหนึ่ง เป็นคนที่ไม่เกรงกลัวพระเจ้าและไม่เห็นแก่มนุษย์ด้วย ในเมืองนั้นมีหญิงม่ายคนหนึ่งมาหาท่านพูดว่า ‘ขอให้ความยุติธรรมแก่ดิผมในการสู้ความเถิด’ แต่ผู้พิพากษาคนนั้นไม่ยอมทำจนเวลาผ่านไปนาน แต่ภายหลังเขานึกในใจว่า ‘แม้ว่าข้าจะไม่เกรงกลัวพระเจ้าและไม่เห็นแก่มนุษย์ แต่เพราะแม่ม่ายคนนี้มาทำให้ข้าลำบาก ข้าจะให้ความยุติธรรมแก่นางเพื่อไม่ให้นางมารบกวนให้รำคาญใจบ่อยๆ’ ” และองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “จงฟังคำที่ผู้พิพากษาอธรรมคนนี้พูด พระเจ้าจะไม่ประทานความยุติธรรมแก่คนที่พระองค์ทรงเลือกไว้ คือพวกที่ร้องถึงพระองค์ทั้งกลางวันกลางคืนหรือ? พระองค์จะทรงอดทนได้หรือ? เราบอกพวกท่านว่า พระองค์จะประทานความยุติธรรมแก่พวกเขาโดยเร็ว แต่เมื่อบุตรมนุษย์มา ท่านยังจะพบความเชื่อในแผ่นดินโลกหรือ?”

 

มัทธิว 7:7 เป็นอีกข้อหนึ่งที่ไปด้วยกันได้กับข้อนี้ “จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่พวกท่าน เพราะว่าทุกคนที่ขอก็ได้ และทุกคนที่แสวงหาก็พบ ทุกคนที่เคาะก็จะเปิดให้เขา”

 

บางครั้งก็เป็นแค่การปฏิเสธที่จะล้มเลิก พระคัมภีร์กล่าวว่า “เราจะได้เก็บเกี่ยวถ้าเราไม่ท้อใจ” ผมสงสัยว่ามีการอัศจรรย์มากมายเพียงใดที่สูญหายไปก่อนที่การอัศจรรย์จะเกิดขึ้นเพียงไม่นาน เพราะมีเหตุที่หลายคนยอมแพ้ไปเสียก่อน ซาตานต้องการให้คุณละทิ้งการอัศจรรย์ของคุณ แต่พระเจ้าต้องการให้คุณเพียรพยายาม บางคนมีความเชื่อ แต่ไม่มีการประพฤติ คนอื่นมีความเชื่อมาก แต่พวกเขายอมแพ้ไปก่อนที่การเก็บเกี่ยวจะมาถึง

 

ผมเชื่อมั่นว่าเหตุผลอันดับหนึ่งที่คนซึ่งความเชื่อมาก แต่บ่อยครั้งไม่ได้มี่ความเชื่อมากพอที่จะรับเอาการรักษาโรคเพราะคำพูดที่รวนเรของเขา พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า “ความตายและชีวิตอยู่ในอำนาจของลิ้น” คุณอาจมีความเชื่อ แต่คุณกำลังพูดออกมาด้วยความเชื่อหรือไม่? คุณยังพูดต่อไปหรือไม่? คุณลังเลใจด้วยการพูดสิ่งที่ขัดกับสัจธรรมหรือไม่? คุณถามตัวเองและเริ่มที่จะลังเลความคิดเห็นสองฝ่าย ยากอบบอกว่าคนที่สงสัยก็เหมือนคลื่นในทะเล เขากล่าวต่อไปว่า คนที่ลังเลใจนั้นอย่าได้คาดหวังว่าจะได้รับอะไรจากพระเจ้าเลย

 

เมื่อผมเป็นศิษยาภิบาลในอลาบามา มีครอบครัวหนึ่งที่เชื่อในการรักษาโรค แต่มีความคิดที่ผิดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ มีคนพยากรณ์ว่าในอนาคต ผู้หญิงคนนั้นจะได้รับการรักษาอย่างฉับพลันจากโรคของลู เกห์ริก ผมพูดคุยกับพวกเขาตลอดเวลาเกี่ยวกับสิ่งที่พระคัมภีร์กล่าวเกี่ยวกับการรักษาโรค แต่พวกเขาก็ยังพูดว่า “พระเจ้าจะทรงรักษาเธอ มันกำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต พระเจ้าสัญญาจากผู้เผยพระวจนะแล้ว” ผมบอกพวกเขาว่า “คุณไม่จำเป็นต้องอาศัยคำพยากรณ์ใดๆ เพื่อรับการรักษาโรค พระคัมภีร์กล่าวว่าพระเยซูทรงแบกรับเอาความเจ็บป่วยของคุณไว้แล้ว และพระองค์ทรงรับความเจ็บปวดของคุณไปแล้ว ความเชื่อไม่ใช่เรื่องอนาคต ความเชื่อคือบัดนี้!” พวกเขามักจะโต้เถียงกับผมและพูดว่า “แต่เรารู้ว่าเธอจะต้องหายจากโรคในอนาคต มันกำลังจะเกิด" ผมก็จะบอกเขาไปว่า “หยุดพูดว่ามันกำลังจะมา แล้วเริ่มพูดว่า 'มันเป็นของฉันแล้ว ฉันได้รับมันแล้วในตอนนี้ พระเยซูยอมจ่ายราคาเพื่อให้ฉันได้รับ โดยรอยแผลเฆี่ยนของพระองค์ ฉันหายโรคแล้ว” แต่มันสายเกินไปแล้ว จิตใจของพวกเขาเชื่อมั่น เธอเสียชีวิตในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี สามีของเธอโกรธพระเจ้าและพูดว่า “ผู้เผยพระวจนะสัญญาว่าเธอจะได้รับการรักษา” เป็นอีกครั้งที่ความเชื่อเป็นเรื่องของบัดนี้ ไม่ใช่ในอนาคต เขายังคงพูดถึงวิธีที่พวกเขามองหาการรักษาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต พวกเขาไม่มีความเชื่อ พวกเขาอยู่ในความหวัง ความโกรธของเขาทำให้เขาหลงทางไป เขาออกจากโบสถ์ ด่าว่าพระเจ้า และอีกหนึ่งปีต่อมา เขาเสียชีวิตอย่างน่าสยดสยองจากการทำงานผิดพลาดของอุปกรณ์ช่วยชีวิตของเขา ความโกรธที่เขามีต่อพระเจ้าทำให้เขาไม่ได้รับการรักษาโรคของตนเองด้วยเช่นกัน ความเชื่อทำการด้วยความรัก เขาไม่มีความรักในหัวใจอีกต่อไป เขาโกรธพระเจ้า และเปิดประตูให้ซาตานขโมยเอาสิ่งดีๆ ไปจากเขา

 

เป็นไปได้ไหมที่คนที่มีความเชื่อมากจะไม่ได้รับการรักษาให้หาย? แน่นอนที่สุด ความเชื่อที่ปราศจากการประพฤตินั้นตายไปแล้ว การรวนเรในคำพูดและการกระทำของคุณสามารถทำลายความเชื่อของคุณได้ การยอมแพ้ก่อนเวลาสามารถขโมยการรักษาโรคได้เช่นกัน จงเข้มแข็งไว้ เคาะต่อไปครับ พระเจ้าไม่ใช่มนุษย์ที่มุสาได้ พระองค์จะทรงทำตามที่พระองค์ตรัสไว้เสมอ และการรักษาโรคคือสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญากับเราทุกคน

คำพูดนี้ฟังดูดีในตอนแรก เมื่อคุณได้ยินใครสักคนถามคำถามนี้เป็นครั้งแรก มันฟังดูดีมาก ทุกคนมีแต่ชนะ พระเจ้าชนะเพราะพระองค์ยังทรงเป็นผู้รักษาโรค คนป่วยก็ชนะเพราะเขาหรือเธอจะไม่เจ็บปวดอีกต่อไป นักเทศน์ชนะเพราะเขาไม่ต้องแก้ต่างว่าทำไมพระเจ้าไม่รักษา อย่างไรก็ตามมันนี่คือความเกียจคร้านที่สมบูรณ์แบบที่สุด มันเป็นจุดยืนที่อ่อนแอ นักเทศน์ตัวน้อยกลัวที่จะพูดในสิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าสอนจริง ๆ โดยตั้งรับความคิดที่ผิดๆ ที่ต่ำกว่าเกณฑ์อันดีสำหรับมนุษย์มากจนกลายเป็นความไม่ซื่อสัตย์ มันไม่ได้เป็นเพียงความไม่ซื่อสัตย์แค่เล็กน้อย แต่เป็นการโกหกอย่างจริงจัง นักเทศน์ที่กล่าวว่า “พระเจ้าทรงรักษาพวกเขาด้วยวิธีของพระองค์เอง พระองค์ทรงเลือกรักษาพวกเขาโดยรับพวกเขาขึ้นสวรรค์ พวกเขาหายดีแล้วในสวรรค์” ผมสงสัยว่าทำไมเราถึงไม่มีเรื่องราววิธีการรักษาของพระเยซูแบบนี้บันทึกไว้ คุณลองนึกภาพเรื่องราวในพระคัมภีร์ที่เขียนแบบนี้ได้ไหม?

และเมื่อพระเยซูเสด็จผ่านเมืองซีซารียา ก็พบชายคนหนึ่งซึ่งเป็นทุกข์อย่างมากเพราะเขาเป็นลมไปบ่อยๆ ด้วยโรคที่ไม่ค่อยพบได้บ่อยนัก เขาเคยไปหาหมอเพื่อรับการรักษาหลายครั้ง แต่หมอไม่สามารถรักษาเขาได้ ดังนั้นพวกเขาจึงพาชายคนนั้นมาหาพระเยซูเพื่อให้วางมือ แล้วส่งเขาไปยังสวรรค์โดยตรงด้วยการประหาร่างกายฝ่ายโลกของเขา พระเยซูทรงรักษาชายคนนั้นโดยส่งเขาไปสวรรค์ หลังจากถอดวิญญาณออกจากร่างกายทางโลกของเขาแล้ว

พระเยซูคงถูกจำคุกนานหลายปีก่อนที่พระองค์จะถูกตรึงที่ไม้กางเขนหากพระองค์เสด็จไปฆ่าผู้คนเพื่อพวกเขาจะได้รับการรักษาในสวรรค์ ทำไมเราต้องอธิษฐานเพื่อรักษาเขาด้วย ถ้าเขาจะหายทันทีอยู่แล้วเมื่อไปถึงสวรรค์? จะดีกว่าไหมถ้าทุกคนตายและไปสวรรค์กันหมด? อีกครั้งที่เราพบว่าตัวเองอยู่ในทางตัน พระเยซูทรงเป็นพระฉายาของพระเจ้าพระบิดา และพระองค์ทรงทำตามที่พระบิดาบอกให้ทำเท่านั้น แต่พระองค์ไม่เคยรักษาใครโดยส่งเขาไปสวรรค์สักครั้ง พระเยซูดูเหมือนจะพอใจกับการรักษาคนบนแผ่นดินโลกแล้วลาซารัสล่ะ? ถ้าลาซารัสหายจากอาการป่วยโดยตายและไปสวรรค์ การที่พระองค์ทำให้เขาเป็นขึ้นมาจากความตายโดยตรัสกับเขาว่า “ลาซารัส จงออกมา” ก็เท่ากับเป็นการเลิกรักษาเขาให้หายใช่ไหม พระเยซูทรงเห็นความตายเป็นศัตรู พระคัมภีร์ก็เห็นเช่นเดียวกัน “ศัตรูตัวสุดท้ายที่จะถูกทำลายก็คือความตาย” (1 โครินธ์ 15:26) พระเยซูเกลียดความตาย พระองค์ทรงทำให้คนเป็นขึ้นจากความตายหลายครั้ง พระองค์ทรงรักษาคนป่วยในหลายๆ เมืองให้หาย พระเยซูทรงเกลียดการเจ็บป่วย มีวิญญาณชั่วที่ถูกตั้งชื่อตามความเจ็บป่วย “วิญญาณแห่งการทุพพลภาพ” ผีอีกตัวหนึ่งคือ “วิญญาณหูหนวกและเป็นใบ้” แต่เหตุใดจึงไม่มีทูตสวรรค์ที่ตั้งชื่อตามความเจ็บป่วย? “วันหนึ่ง อัครทูตสวรรค์มะเร็งมาเยี่ยมอับราฮัม” คนส่วนใหญ่เห็นด้วยว่าวิญญาณชั่วคือทูตสวรรค์ที่ล้มลงในบาป ดังนั้นจึงมีเพียงทูตสวรรค์ที่ล้มในบาปเท่านั้นที่ได้รับการตั้งชื่อตามความเจ็บป่วย หรืออาจจะบอกว่าความเจ็บป่วยต่างหากที่ถูกชื่อตามพวกวิญญาณชั่ว? เหตุใดจึงไม่มีทูตสวรรค์ปกติองค์ใดที่ถูกเรียกชื่อตามโรคภัยไข้เจ็บ?

ผมจะเล่าให้คุณฟังว่า เพราะความเจ็บป่วยเป็นสิ่งชั่วร้าย นั่นคือเหตุผล! พระเยซูไม่เคยเอ่ยถึงด้านดีของความเจ็บป่วย พระองค์ไม่ได้ตั้งชื่อทูตสวรรค์ตามอาการป่วย แต่พระองค์ทรงเรียกชื่อผีหลายตัวตามโรคที่คนป่วย พระองค์ไม่เคยมองข้ามใครในการักษาโรค แต่พระองค์ทรงขับไล่ความเจ็บป่วยจากคนจำนวนมาก ผมยังไม่พบที่ใดในพระคัมภีร์ที่พระเยซูทรงทำให้ใครเจ็บป่วยเพื่อทำให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้น พระเยซูทรงเห็นความเจ็บป่วยเป็นศัตรูที่ควรถูกทำลายและต่อต้านตลอดเวลา พระคัมภีร์สอนเราในยากอบ 4:7 ให้ “จงต่อสู้กับมารแล้วมันจะหนีไป” ไม่ใช่หรือ? ถ้าอย่างนั้นทำไมทุกคนไม่ต่อต้านความเจ็บป่วยเพราะพระคัมภีร์สอนอย่างชัดเจนว่าเป็นสิ่งที่มาจากซาตาน?

กิจการ 10:38 บอกเราว่า “พระเจ้าเจิมพระเยซูชาวนาซาเร็ธด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยฤทธานุภาพ เพราะพระองค์ เสด็จไปทำความดีและรักษาคนทั้งปวงที่ถูกมารกดขี่”

พระเยซูทรงรักษาคนที่ถูกมารเบียดเบียนกี่คน? ทุกคน มารเบียดเบียนพวกเขาด้วยอะไร? โรคภัยไข้เจ็บ เหตุใดพระเยซูจึงได้รับการเจิมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และฤทธิ์เดช เพื่อรักษาทุกคนที่โดนมารเบียดเบียน มันค่อนข้างชัดเจนว่าใครกำลัง "เบียดเบียนคนด้วยความเจ็บป่วย" และใครคือผู้รักษา พระเยซูทรงสะท้อนภาพของพระเจ้าว่าเป็นอย่างไร (ฮีบรู 1:1-3)

พระคัมภีร์กล่าวต่อไปใน 1 ยอห์น 3:8 ว่า “พระบุตรของพระเจ้าได้เสด็จมาปรากฏก็เพราะเหตุนี้ คือเพื่อทำลายกิจการของมาร” คำว่า "ทำลาย" หมายถึง "ทำใหเสื่อมประสิทธิภาพไปเสีย" มีความหมายว่า “ทำให้เปล่าประโยชน์” พระเยซูเสด็จมาเพื่อทำให้งานของมารไร้ประโยชน์ หากการเจ็บป่วยถูกตั้งชื่อตามมารและพระเยซูทรงรักษาผู้คนจากความเจ็บป่วยอยู่เสมอ และพระเยซูทรงเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ที่เกลียดชังความเจ็บป่วยและมองว่าเป็นศัตรูของพระองค์ ก็ดูมีเหตุผลเพียงว่าสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของงานของมารที่พระองค์เสด็จมาเพื่อทำลาย พระเยซูเสด็จมาและทำลายความเจ็บป่วย บาป การเบียนเบียนของมาร ตลอดจนทุกสิ่งที่มาเพื่อลัก ฆ่า หรือทำลาย (ยอห์น 10:10)

พระเยซูเสด็จมาเพื่อให้เรามีชีวิตและชีวิตที่ครอบบริบูรณ์ (ยอห์น 10:10) ฉบับแปลฉบับหนึ่งกล่าวว่าเพื่อให้เราได้ชีวิตอย่างเต็มที่ ความเจ็บปวด โรคภัยไข้เจ็บ เปรียบเสมือนชีวิตที่สมบูรณ์ที่สุดสำหรับคุณหรือไม่? ผมไม่คิดอย่างนั้น ไม่มีหลักฐานในพระคัมภีร์ที่บอกว่าพระเยซูทรงรักษาบางคนโดยพาพวกเขาไปสวรรค์ ผู้คนมักพูดว่า “พระเจ้าพาคนนั้น คนนี้กลับบ้านไปอยู่กับพระองค์แล้ว” มีเพียงแค่สองครั้งที่พระเจ้านำคนกลับไปสวรรค์ก่อนเวลา ครั้งแรก เป็นเรื่องราวของเอโนค แต่เอโนคก็อายุค่อนข้างมากแล้ว ถึงแม้ในยุคของเขาจะถือว่ายังคนเป็นคนอายุน้อย แล้วลองนึกดูสิ ไม่มีใครเคยร่างของเอโนค พระเจ้าทรงพาเอลียาห์กลับบ้านด้วย แต่ท่านถูกล้อมรอบด้วยรถรบเพลิง ไม่มีใครได้เห็นร่างกายของท่านด้วย พวกเขาถูกรับขึ้นไปยังสวรรค์พร้อมด้วยร่างกายที่ยังแข็งแรง สมบูรณ์และปราศจากโรคภัย วันหนึ่งพระเจ้าจะเสด็จมารับคริสตจักรของพระองค์ขึ้นสวรรค์ในลักษณะเดียวกันด้วย พระองค์จะไม่ต้องประหารเราเพื่อจะนำพาเรากลับไปสวรรค์ แต่จะทรงรับเราขึ้นไปทันทีในที่ที่เรายืนอยู่

สวรรค์จะยอดเยี่ยมไหมนะ? แน่นอน ยอดเยี่ยม ผมหวังว่าจะได้เห็นพระเยซู ผมหวังว่าจะได้เห็นสถานที่และเพลิดเพลินกับงานที่ได้รับมอบหมายจากสวรรค์ ผมแทบรอไม่ไหวที่จะเดินบนถนนที่ทำด้วยทองคำ ผมอดใจไม่ไหวที่จะได้เพลิดเพลินไปกับการสถิตอยู่ของพระเจ้าพร้อมกับทูตสวรรค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ชั่วนิรันดร์ แต่ตอนนี้ยังไปไม่ได้ ผมยังมีงานต้องทำ ถ้าผมตายบนเตียงผู้ป่วยในโรงพยาบาล มันคงเป็นเรื่องโกหกที่จะบอกคนอื่นว่า “พระเจ้ารักษาคริสด้วยการพาเขาไปสวรรค์ ไม่ใช่วิธีที่เราต้องการให้มันเกิดขึ้น แต่มันเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า” มันคงเป็นเรื่องโกหกทั้งหมด นับตั้งแต่นั้นมา หลายคนได้รับความรอด คริสตจักรได้รับการปลูก หลายคนได้รับการรักษาให้หาย ซาตานต้องการฆ่าผมในห้องฉุกเฉิน แต่ผมไม่ยอม ผมพูดพระวจนะแห่งการรักษาโรคของพระเจ้าสำหรับร่างกายของผมเอง จนกระทั่งมันสำแดงออกมาเป็นการรักษาทั้งหมด ดังนั้น พระเจ้าไม่ได้รักษาใครด้วยการประหารพวกเขาบนโลก เพื่อให้พวกเขาได้รับการรักษาในสวรรค์ นั่นเป็นหนึ่งในสิ่งที่น่าขบขันที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ยินคำอธิบายว่าเหตุใดการรักษาโรคจึงไม่เกิดขึ้น
ผมคิดว่าเพื่อที่จะตอบคำถามนี้ คุณต้องกำหนดเส้นแบ่งที่ชัดเจนมากระหว่างพระคุณกับความจริง พระคัมภีร์สอนว่าธรรมบัญญัติมาทางโมเสส แต่พระคุณและความจริงมาทางพระเยซู พระเยซูทรงเปี่ยมด้วยพระคุณและความจริง พระองค์ทรงเป็นพระวจนะ พระวาทะทรงบังเกิดเป็นเนื้อหนัง และพระองค์ทรงประทับอยู่ท่ามกลางมนุษย์ พระองค์ทรงเป็นพระวจนะที่ดำเนินชีวิตอยู่ของพระเจ้า และบัดนี้พระองค์ทรงเป็นพระวจนะที่ดำรงชีวิตอยู่ของพระเจ้า เมื่อคุณเห็นพระเยซูทำบางสิ่ง คุณกำลังได้รับพระวจนะของพระเจ้าในหัวข้อนั้น พระคัมภีร์กล่าวว่าพระเยซูจะทรงขี่ม้าขาว และพระองค์จะมีพระนามที่ไม่มีใครรู้จักนอกจากพระองค์เอง (วิวรณ์ 19:12) และยังมีข้อหนึ่งกล่าวว่าพระองค์ถูกเรียกว่า “พระวจนะของพระเจ้า” (วิวรณ์ 19:13) ดังนั้นถึงแม้พระองค์จะมีพระนามที่เราไม่ได้รับอนุญาตให้รู้จักเพราะพระเจ้าของเรายิ่งใหญ่จนเราไม่สามารถรู้ได้ทั้งหมดเกี่ยวกับพระองค์ (ซึ่งผมชอบเพราะผมไม่ต้องการพระเจ้าที่เล็กน้อยจนผมรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับพระองค์) พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระวจนะนิรันดร์ของพระเจ้า พระองค์ถูกเรียกว่าพระวจนะของพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า เราได้รับการสอนว่า ในฐานะพระวาทะของพระเจ้า พระเยซูทรงสร้างทุกสรรพสิ่งขึ้นมา เมื่อพระเจ้าตรัสและเป็นเช่นนั้น พระเยซูทรงเป็นพระวจนะที่ทำให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น พระองค์ทรงเป็นพระวจนะของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้าปรากฏเป็นเนื้อหนังและดำเนินอยู่ท่ามกลางมนุษย์ ในขณะที่มนุษย์มองเห็นสง่าราศีของพระองค์ พระสิริของพระบุตรองค์เดียวที่ถือกำเนิดของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้าเรียกว่าดาบแห่งพระวิญญาณ พระเยซูทรงเป็นดาบของพระวิญญาณ และพระองค์เป็นพระวจนะของพระเจ้าเอง พระองค์ทรงอยู่ในปฐมกาลกับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า เป็นพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้าที่ถือกำเนิดมาเป็นมนุษย์ แต่พระวจนะของพระเยซูเองตรัสว่า "เราดำรงอยู่ก่อนอับราฮัมเกิด” พระองค์ป่าวประกาศว่า ทรงเป็นองค์ “ผู้เป็น” ที่ใช้โมเสสไปบอกฟาโรห์ให้ปล่อยประชากรของพระเยซูไป ในพระธรรมยูดาห์ พระคัมภีร์กล่าวว่าพระเยซูเป็นผู้นำลูกหลานของอิสราเอลออกจากการเป็นทาส (ยูดา 5) ผมชอบที่พระคัมภีร์กล่าวว่าพระเยซูทรงนำลูกหลานอิสราเอลออกจากอียิปต์โดยเฉพาะ

พระเจ้าตรัสกับโมเสสอีกว่า “เราคือยาห์เวห์ เราปรากฏแก่อับราฮัม แก่อิสอัค และแก่ยาโคบด้วยนามว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ แต่เราไม่ได้สำแดงให้พวกเขารู้จักในนามยาห์เวห์ (อพยพ 6:2-3)

ในตอนนี้ พระเจ้ากำลังตรัสกับโมเสส และพระองค์ตรัสอย่างเฉพาะเจาะจงว่าไม่มีใครรู้จักพระองค์ในนามพระเยโฮวาห์ ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นคำว่า ยาห์เวห์ โดยทั่วไปจะไม่มีการใช้คำว่า พระยาห์เวห์ เพราะศักดิ์สิทธิ์เกินกว่าจะพูดได้ ชาวยิวจะไม่ใช้สระในชื่อด้วยซ้ำ เป็นชื่อที่เขียนไว้อย่างนี้ YHWH แต่ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าออกเสียงอย่างไรหรือจะใส่สระตรงไหน แต่เดาว่าน่าจะอ่านว่าพระยาห์เวห์นี่แหละใกล้เคียงที่สุด สังเกตว่าเราเห็นการอัศจรรย์ปรากฏไม่มากนักในปฐมกาล น่าจะเป็นเพราะพวกเขาไม่เข้าใจความหมาของพระนาม YHWH (หรือพระเยโฮวาห์ ตามที่ผู้แปลพระคัมภีร์เขียนไว้) โดยทั่วไปหมายถึง “พระเจ้าผู้ทรงช่วยให้รอดและปลดปล่อย” แต่สิ่งที่น่าสนใจคือการที่พระเจ้ายอมให้ลูกหลานของอิสราเอลรู้จักพระองค์ด้วยชื่อนี้และชื่อผสม เช่น เยโฮวาห์-ราฟา หรือพระเจ้าเป็นแพทย์ของเรา มีเจ็ดพระนามประสมเหล่านี้ โดยไม่ต้องลงรายละเอียดในพระคัมภีร์ภาษาฮีบรู ได้แก่ พระเจ้าคือความชอบธรรมของฉัน พระเจ้าเป็นธงแห่งชัยชนะหรือที่ลี้ภัยของฉัน พระเจ้าเป็นผู้เลี้ยงดูเรา พระเจ้าทรงสถิตอยู่ตลอดไป พระเจ้าจะจัดเตรียม พระเจ้าเป็นแพทย์ผู้รักษา และพระเจ้าคือสันติสุขของเรา ไม่มีใครรู้จักพระองค์ในพระนามเยโฮวาห์และฤทธิ์เดชแห่งพระนามนั้นก่อนหน้าสมัยของโมเสส ผลลัพธ์จึงทำให้ คนขาดการรักษาโรค ขาดการอัศจรรย์ ขาดการเลี้ยงดู อย่างน้อยก็ในระดับที่คนอิสราเอลได้รับจากพระเจ้า เพราะทั้งหมดเกิดขึ้นได้เพราะพระนามของพระองค์

สิ่งนี้นำเรากลับมาสู่พระนามพระเยซู และคำถามว่าความบาปจะขัดขวางเราให้ไม่ได้รับสิ่งที่พระเยซูจ่ายราคาให้หรือไม่ พระคัมภีร์สอนเราว่าพระเยซูคือพระวจนะของพระเจ้าและดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ ในอิสยาห์ 45:23 พระคัมภีร์บอกเราว่าทุกเข่าจะคุกลงกราบและทุกลิ้นจะสารภาพ แต่ในพันธสัญญาใหม่ กล่าวไว้ชัดแจ้งว่า นี่คือพระนามของพระเยซูโดยเฉพาะ ในพันธสัญญาเดิม พระเยโฮวาห์ (พระยาห์เวห์) ทรงเป็นพระนามเหนือทุกนาม และไม่ถูกเปิดเผยจนกว่าพระเยซูจะเสด็จไปที่พุ่มไม้ลุกเป็นไฟและตรัสกับโมเสส (พระเยซูตรัสว่าท่านไม่เคยรู้จักชื่อเรามาก่อนว่าเป็นเยโฮวาห์) แน่นอนว่าพวกเขาใช้พระนามนั้น แต่พวกเขาไม่รู้จัก แต่พระองค์ทรงสำแดงฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ผ่านทางพระนามของพระองค์ และลูกหลานของอิสราเอลก็เชื่อ และพระเยซูทรงนำพวกเขาออกจากการเป็นทาส (ยูดา 5) พระคัมภีร์กล่าวในพระธรรมฟีลิปปีว่า พระเยซูทรงรับสภาพทาส เหมือนมนุษย์คนหนึ่ง และทรงสละพระองค์เองจากความเป็นพระเจ้าและสิทธิพิเศษอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ทรงปรากฏพระองค์เป็นมนุษย์ แต่พระคัมภีร์กล่าวต่อไปว่าเมื่อพระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย พระเจ้าได้ประทานพระนามเหนือนามทั้งปวงแก่พระองค์ ปัจจุบัน ชื่อของพระเยซูจึงยิ่งใหญ่กว่าพระนามเยโฮวาห์ และพระนามผสมต่างๆ ที่เคยมีในพันธสัญญาเดิมนั้น ซึ่งเป็นชื่อที่ท่านอิสยาห์กล่าวไว้ว่า ทุกเข่าจะคุกลงกราบ และทุกลิ้นจะสารภาพ พันธสัญญาใหม่สอนว่า พระนามนี้คือพระเยซูนั่นเอง

เป็นพระเยซูที่ทรงนำพวกเขาออกมา เป็นพระเยซูที่มีพระนามว่า “ผู้เป็น” พระเยซูคือผู้รักษา ผู้เป็นที่ลี้ภัย ผู้จัดหา ผู้ทำให้เกิดชอบธรรม พระเยซูเป็นพระนามเต็มที่ช่วยปลดปล่อย ไม่เพียงเฉพาะชาวยิวแต่กับทุกคนที่ร้องออกพระนามของพระองค์ในเวลานี้ พระเยซูทรงทำให้เกิดชอบธรรม พระเยซูคือพระวจนะของพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าโดยสมบูรณ์และยังทรงเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ พระคัมภีร์สอนว่าพระเยซูทำในสิ่งที่พระบิดาบอกให้ทำเท่านั้นและพระองค์ทรงเป็นพระฉายของพระเจ้า พระองค์ทรงพระประสงค์ที่ดำเนินอยู่ของพระเจ้า

หากเราต้องตอบคำถามเช่น “ความบาปจะกีดกันคนไม่ให้ได้รับการรักษาโรคหรือไม่” เราต้องถามว่า “พระเยซูเคยไม่ยอมรักษาโรคของใครเพราะบาปของเขาไหม?” นี่เป็นคำถามสุดยอด! พระเยซูเคยไม่รักษาใครเพราะบาปหรือเปล่า? พระองค์เป็นพระวจนะของพระเจ้าในทุกเรื่อง ดังนั้นเมื่อมองไปที่พระเยซู เราจะเห็นพระวจนะของพระเจ้าในคำถามนี้ ข้าพเจ้านึกได้หลายครั้งที่ส่อให้เห็นเป็นนัยว่าบาปนำความเจ็บป่วยเข้ามาในชีวิตคนโดยตรง พระคุณแห่งการรักษาของพระเยซูทำให้พวกเขาหายดี จากนั้นพระเยซูทรงเตือนพวกเขาว่าอย่ากลับไปทำบาปอีก พระเยซูไม่ได้ข้ามการรักษาใครไปเพราะความบาป แต่พระองค์ทรงเตือนว่าการกลับไปทำบาปหลังจากได้รับการรักษาอาจนำไปสู่ความเจ็บป่วยที่เลวร้ายยิ่งกว่าเดิม

ในการตอบคำถามนี้ว่าความบาปสามารถกีดกันคนไม่ให้ได้รับการรักษาหรือไม่ ผมนึกถึงเรื่องราวของชายที่ถูกหย่อนตัวลงมาจากหลังคา สิ่งแรกที่พระเยซูตรัสกับเขาคือ “บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว” ทุกคนโกรธที่พระเยซูทำเช่นนี้ พระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาว่า “เพื่อท่านจะรู้ว่าบุตรมนุษย์มีอำนาจที่จะยกโทษบาป” แล้วพระองค์ก็ทรงรักษาคนอัมพาต พระเยซูคือพระวจนะของพระเจ้า หากบุคคลใดให้คำมั่นสัญญา ความน่าเชื่อถือก็ย่อมขึ้นอยู่กับคนที่สัญญานั้น “ผมให้คำมั่นคุณในเรื่องนี้” พระบิดาประทานพระวจนะแก่เราในเรื่องนี้อย่างแท้จริง พระองค์ให้อภัยชายคนนั้นก่อนที่เขาจะร้องขอ เพราะชายคนนั้นเชื่อในพระเยซู เขามีศรัทธามากจนให้เพื่อนสี่คนของเขารื้อหลังคาแล้วหย่อนตัวเขาลงไปต่อหน้าพระเยซู

เมื่อพระเยซูทรงเห็นความเชื่อของพวกเขา พระองค์ก็ทรงอภัยบาปของชานผู้นั้นก่อน แล้วจึงทรงรักษาโรคของชายคนนั้น ในสดุดี 103 พระคัมภีร์ให้พระสัญญาไว้สองประการ นั่นคือพระสัญญาว่าพระเจ้าให้อภัยความบาปผิดทุกอย่างของเรา และพระองค์จะรักษาโรคทั้งหมดของเรา พระคัมภีร์บอกว่าเราควรสรรเสริญพระเจ้าเพราะเรื่องนี้ สังเกตว่ามีลำดับก่อนหลัง: อันดับแรกให้อภัยแล้วรักษาให้หาย ในยากอบ 5:16 เราได้รับคำสั่งให้สารภาพบาปต่อกันและอธิษฐานเผื่อกันเพื่อที่เราจะได้รับการรักษาโรค มีบางอย่างเกี่ยวกับการสารภาพความผิดและบาปของเรา และการซื่อสัตย์ว่าเราอยู่จุดใดในชีวิตที่นำมาซึ่งการเยียวยา ผมคิดว่าลำดับก่อนหลังมีความสำคัญในที่นี้ ประการแรก มีการเปิดกว้างที่จะสารภาพความผิดและบาปของเราต่อกัน และอธิษฐานเผื่อกันและกัน แล้วการรักษาก็เกิดขึ้น พระคัมภีร์ไม่ได้แค่บอกให้อธิษฐานเผื่อกันเพื่อที่เราจะหายจากโรค

พระเจ้าตรัสว่า “จงสารภาพบาปต่อกัน และอธิษฐานเผื่อกัน เพื่อท่านจะหายเป็นปกติ”

ในยอห์น 5 มีชายคนหนึ่งเป็นอัมพาตมา 38 ปีแล้ว เขาต้องการการรักษาอย่างยิ่ง เขาไม่มีใครช่วยเขา บ่อยครั้งทูตสวรรค์จะกวนน้ำ และคนแรกที่ลงไปในน้ำหลังจากการกวนนั้นก็หายเป็นปกติ พระเยซูตรัสถามชายคนนั้นว่าอยากหายหรือไม่ พระเยซูทรงบอกให้เขาลุกขึ้น ยกที่นอน และเดินไป เขาทำในสิ่งที่พระองค์สั่ง การกระทำด้วยศรัทธาของเขารักษาเขาให้หาย แต่แล้วเขาก็เห็นพระเยซูในเวลาต่อมาไม่นาน และพระเยซูตรัสถ้อยคำแปลกๆ กับเขาว่า “ดูซิ เจ้าหายดีแล้ว อย่าทำบาปอีกต่อไป เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นกับเจ้าอีก”

ผมต้องสรุปจากทั้งหมดที่เราศึกษาที่นี่ว่าพระเยซูไม่เคยมองข้ามที่จะรักษาโรคให้ใครบางคนเพราะเหตุความบาปของเขา แต่ดูเหมือนว่าการกลับใจจากบาปเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการรักษาและมีคำเตือนว่าความเจ็บป่วยอาจเกิดขึ้นได้อีก หรืออาจจะแย่ลงกว่าเดิม หากคนๆ นั้นกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม ผมต้องการให้คุณสังเกตถ้อยคำเฉพาะของชายที่ป่วยเป็นเวลานาน ประการแรกพระเยซูทรงเปรมปรีดิ์กับเขาและตรัสว่า “ดูเถิด เจ้าหายดีแล้ว!” จากนั้นพระเยซูทรงให้คำเตือนที่สำคัญด้วยถ้อยคำเฉพาะเจาะจง “อย่าทำบาปอีกต่อไป เพื่อไม่ให้สิ่งที่เลวร้ายกว่าอาจนี้เกิดขึ้นกับเจ้า” คำว่า "อาจ" เป็นคำอนุญาต แปลว่า อนุญาตให้ พระเยซูตรัสว่าอย่ากลับไปสู่ชีวิตแบบเดิมของคุณ เพื่อไม่ให้เกิดสิ่งใดขึ้นกับคุณอีก บาปอาจเปิดช่องให้ซาตานโจมตีชีวิตของคุณได้ พระเยซูทรงจัดการกับบาปที่กางเขนอย่างครบถ้วนแล้ว และเราได้รับความชอบธรรมนิรันดร์โดยพระโลหิตของพระองค์ แต่พระคัมภีร์เตือนเราว่า มีผลลัพธ์ของความบาปที่อาจเกิดขึ้นบนโลกนี้ได้

ใน 1 โครินธ์ 11 คริสตจักรมีการถือพิธีมหาสนิทอย่างผิดวิธี เปาโลเตือนพวกเขาว่าให้เล็งเห็นพระกายและพระโลหิตอย่างจริงจัง ท่านกล่าวว่ามีบางคนอ่อนแอ เจ็บป่วย บางคนเสียชีวิตไปเพราะเหตุนี้ ในอีกที่หนึ่ง เปาโลได้มอบชายคนหนึ่งให้หาซาตานทำลายเนื้อหาเพื่อเขาจะได้เรียนรู้ที่จะไม่หมิ่นประมาทพระเจ้า ในอีกตอนหนึ่ง เปาโลมอบชายคนหนึ่งไว้ในมือซาตานเพราะบาปทางเพศ ชายคนนี้เป็นคริสเตียน แต่เปาโลกล่าวว่า “จงมอบเขาไว้กับซาตานเพื่อทำลายเนื้อหนัง เพื่อวิญญาณของเขาจะรอดได้ในวันพิพากษา” ดูเหมือนเปาโลจะบอกว่าชายคนนี้จะไม่สูญเสียความรอดหากเขาได้รับอนุญาตให้ทนทุกข์ เขาจะกลับใจเนื่องจากการมอบไว้กับซาตาน เขาอาจต้องตายหรือถูกรับตัวไป ซาตานจะได้รับอนุญาตให้กำจัดคนๆ นั้นได้ในที่สุด แต่มันเป็นไปเพื่อประโยชน์ของเขาเอง เพราะหากปล่อยไว้กับความบาปหรือกลอุบายของเขาเอง บุคคลนั้นๆ อาจไปถึงจุดที่เขามีบาปลึกถึงขนาดที่สูญเสียความเชื่อในพระคริสต์ไปได้ พระเยซูถูกเรียกว่าเป็นผู้เริ่มต้นและทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์ พระองค์จะไม่ทรงปล่อยให้เราสูญเสียความเชื่อและหลงหายไป แต่พระองค์อาจทรงยอมให้เนื้อหนังของเราถูกทำลาย เพื่อให้วิญญาณของเราจะได้รับการช่วยให้รอดในวันพิพากษาในที่สุด

คุณเห็นไหม บาปเปิดประตูให้ซาตาน มันสามารถส่งผลร้ายแรงขึ้นได้ ดังนั้น บางคนป่วยและอ่อนแอ และบางคนถึงกับเสียชีวิตไปก่อนวัยอันควร เพราะพวกเขาไม่ได้ดำเนินสิ่งสิ่งต่างๆ ตามระเบียบที่พระเจ้าตรัสไว้ ในฮีบรู 12 พระคัมภีร์สอนว่าหากพระเจ้ารักคุณ พระองค์จะตีสอนคุณ พระองค์ไม่ทรงทำให้ลูกๆ ป่วยตามที่เราได้เรียนรู้ในบทเรียนก่อนหน้านี้ แต่พระองค์ทรงตีสอนเราอย่างแน่นอน วิธีแรกคือการยอมให้เราเดินออกจากความคุ้มครองของพระองค์ ไม่ใช่ว่าพระองค์ทรงถอดความคุ้มครองของพระองค์ออกไป เมื่อเราเลือกที่จะเดินในความมืด เราก็ได้ออกจากที่กำบังและความช่วยเหลือของพระองค์แล้ว แต่หลังจากที่เราใช้เวลามากพอในฝ่ายโลก ผ่านความยากลำบากโดยไม่ได้รับความช่วยเหลือจากพระผู้เป็นเจ้าเพราะเราละทิ้งขอบเขตความช่วยเหลือของพระองค์ด้วยความจองหอง เรามักจะกลับมาถ่อมตัวและกลับใจใหม่ พระเจ้าทรงว่องไวในการให้อภัยและฟื้นฟู ความบาปเปิดประตูสู่การโจมตีของซาตาน ความเจ็บป่วยทุกอย่างไม่ได้เกิดขึ้นเพราะบาป แต่ถ้าคุณดำเนินชีวิตในบาปที่เปิดกว้างและจัดการกับความเจ็บป่วยที่แพร่หลายและท่วมท้น จงกลับใจจากบาปนั้นทันที เอามันออกไปจากชีวิตของคุณ หันกลับและขอให้พระเจ้ายกโทษให้คุณ ขอให้พระองค์ปลดปล่อยคุณจากผลของการกระทำของคุณ บางครั้งเราต้องอยู่กับผลทางโลกบางอย่างเพราะการกระทำของเรา แต่พระคุณของพระเจ้านั้นยอดเยี่ยมมากจนพระเจ้ามักจะปล่อยเราไปด้วยความรักแม้จากผลที่เราสมควรได้รับ ในท้ายที่สุด หลังจากสารภาพบาปของคุณต่อพระเจ้าแล้ว จงวางใจในพี่น้องเพื่อขอความช่วยเหลือ หากเป็นการเสพติดที่คุณยังคงทำอยู่หรือเป็นบาปที่คุณรับมืออยู่เรื่อยๆ ตามที่ยากอบ 5:16 สอน คุณก็สามารถทูลขอได้ สำหรับการอธิษฐานหรืออธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อรักษาตัวเอง เมื่อการรักษามาถึง อย่ากลับไปทำบาป เนื่องจากเราได้รับคำเตือนหลายครั้งว่าสิ่งเลวร้ายอาจเกิดขึ้นกับเรา

บางคนอาจบอกว่า “เราจะไปเถิดแล้วไม่ทำบาปอีก” ได้อย่างไร? มันเป็นสิ่งทำไม่ได้ ผมไม่คิดว่าพระเยซูทรงหมายว่าเราจะไม่มีวันทำบาปอีกเลย เราทุกคนทำบาปในบางครั้ง และโดยปกติมันเกิดขึ้นได้ทุกวันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ผมคิดว่าพระองค์กำลังตรัสถึงบาปบางอย่างที่อาจเปิดประตูรับความเจ็บป่วยบางอย่างเข้ามา หรือบาปที่ครอบงำเราอยู่ซึ่งเราไม่เคยหยุดทำ แต่อาจเป็นบาปเฉพาะเจาะจงที่มีผลเฉพาะเจาะจง หากคุณได้รับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จากความสำส่อนทางเพศ และคุณกลับใจและขอการรักษาโรค ก็อย่ากลับไปทำอย่างนั้นอีก หากคุณหายจากปัญหาตับหลังจากดื่มแอลกอฮอล์เป็นเวลานาน ก็อย่ากลับไปทำแบบนั้นอีก หากคุณมีผลลัพธ์ตามธรรมชาติจากการทำสิ่งที่พระเจ้าตรัสสั่งไม่ให้ทำโดยจงใจ ก็จงให้หันหลังให้มันเสีย ทูลขอการอภัยจากพระองค์ แล้วอย่ากลับไปทำอีก นอกจากนี้ อาจมีการเจ็บป่วยบางอย่างที่เกิดขึ้นกับคุณโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่คุณรู้ว่าคุณมีบาปที่ซ่อนเร้นมาเป็นเวลานาน จงกลับใจจากบาปนั้น ทูลขอพระเจ้าให้ทรงรักษาคุณ และเมื่อพระองค์ทรงรักษาแล้ว อย่ากลับไปหาสิ่งที่อาจเปิดประตูสู่ความเจ็บป่วยนั้น เพราะผมคิดว่าเหมือนพระเยซูตรัสสอนเรื่องผีไว้ เมื่อผีตัวใดถูกขับออกไป ถ้ามันกลับมาและพบว่าบ้านเดิมว่างเปล่า มันก็จะกลับมาพร้อมกับเพื่อนผีอีกเจ็ดตน “เลวร้ายยิ่งกว่าตัวเดิม” และผีทุกตัวก็เข้าไปสิงอยู่ในตัวเขาพร้อมกัน

คริสเตียนไม่อาจมีผีอยู่ในวิญญาณของเขาได้ แต่แน่นอน เราสามารถปล่อยให้ผีมีอิทธิพลต่อจิตใจของเรา (ความคิด เจตจำนง และอารมณ์) และร่างกายของเราได้ หากคุณไม่ได้เติมเต็มด้วยพระวจนะของพระเจ้า พระวิญญาณของพระเจ้า และความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า และคุณสั่งให้โรคภัยไข้เจ็บไปจากคุณความเจ็บป่วยที่มาจากวิญญาณชั่วอาจหวนกลับมาหาที่ว่างได้ (หรือ คุณสามารถพูดได้ว่ามีการเปิดโอกาสรออยู่) และมันสามารถเชิญชวนเพื่อนๆ ที่ของที่ร้ายกว่าตัวมันเองอีกให้กลับมาหาคุณ ดังนั้นเมื่อคุณหันกลับจากบาปและรับการรักษาโดยความเชื่อ ก็อย่ากลับไปสู่บาปที่ครอบงำชีวิตของคุณอีก

ใช่ พระเยซูทรงจัดการกับความบาปแล้ว ใช่ มันเป็นโดยความเชื่อ ใช่ เราต้องระวังที่จะไม่คิดว่าทุกครั้งที่คนป่วยมันเป็นเพราะพวกเขามีบาปหรือขาดความเชื่อ เพราะนั่นไม่เป็นความจริงเสมอไป อย่างไรก็ตาม เราต้องยอมรับว่าการเจ็บป่วยบางอย่างเป็นผลโดยตรงจากบาป และการกลับใจเป็นสิ่งจำเป็นก่อนการรักษาโรคที่สมบูรณ์จะมาถึง พระเยซูไม่เคยงดรักษาโรคใครเพราะว่าเขาทำบาป ดังนั้น นี่คือพระวจนะของพระเจ้าในเรื่องการรักษาโรค บาปไม่สามารถขวางคุณไม่ให้หายโรคได้โดยตรงเมื่อคุณมีความเชื่อในพระองค์ผู้รักษา แต่ดูเหมือนว่าความบาปที่ไม่กลับใจสามารถขัดขวางไม่ให้คุณรับการรักษาโรคได้ และหากของขวัญแห่งความเมตตาจากพระเจ้ามอบให้คุณ - อย่างที่มักจะเป็น - โดยการรักษโรคคุณ แม้ในขณะที่คุณอยู่ในบาปที่เปิดเผยและโจ่งแจ้ง ข้อเสนอแนะของผมคือให้ขอบคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งนั้น แล้วหนีห่างจากบาปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และกลับใจจากสิ่งนั้นตลอดไป เพราะสิ่งเลวร้ายอาจมาถึงคุณได้ถ้าคุณไม่ทำ บาปเปิดประตูรับงานชั่วร้ายทั้งหมดของมารร้าย และช่วยให้มันเขาเข้าถึงคุณได้ จำไว้ว่า พระเยซูตรัสว่า “อย่าทำบาปอีกต่อไป เพื่อที่สิ่งเลวร้ายกว่านั้นจะไม่มาถึงเจ้า” กล่าวอีกนัยหนึ่ง อย่าทำสิ่งที่เปิดช่องให้ซาตานเข้ามาทำให้คุณเจ็บป่วยตั้งแต่ครั้งแรก เพราะคุณอาจเปิดช่องให้มารได้อีก แต่คราวนี้จะแย่กว่านั้นมาก ผมรู้สึกขอบคุณที่พระคุณและความรักของพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าบาปที่เลวร้ายที่สุดของผม และความรักของพระองค์วิเศษมากจนพระองค์รักษาเราแม้เมื่อเรายังทำบาป จงถวายเกียรติแด่พระองค์โดยใช้ร่างกายของเราเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์ สมควรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า และสมควรแด่การทรงเรียกจากเบื้องบนของพระองค์
คนนั้นนั่งฟังเปาโลพูดอยู่ เปาโลจึงจ้องดูเขา เห็นว่ามีความเชื่อพอที่จะได้รับการรักษาโรค จึงร้องสั่งด้วยเสียงดังว่า “จงลุกขึ้นยืนตรง” คนง่อยนั้นก็กระโดดขึ้นและเดินไป (กิจการ 14:9-10)

นี่คือสิ่งที่เรารู้จากการอ่านเรื่องนี้ ชายคนหนึ่งอาศัยอยู่ในเมืองลิสตราซึ่งเปาโลและบารนาบัสปรากฏตัวขึ้นเพื่อสั่งสอน เท้าของเขาเป็นง่อย และเขาเป็นอย่างนั้นมานานแล้ว ที่จริง คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าเขาเป็นอย่างนั้นมาตั้งแต่เกิด แต่เปาโลได้ตระหนักว่าชายคนนั้นมีความเชื่อพอที่จะได้รับการรักษาให้หายโรคได้ สังเกตว่าเมื่อชายคนนั้นมีความเชื่อว่าจะได้รับการรักษา แต่ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยเพื่อเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของเขา ดังที่เราพูดถึงในบทเรียนอื่น เป็นไปได้ที่จะมีความเชื่อทั้งหมดในโลกนี้ แต่ถ้าไม่มีการประพฤติ ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย

เกิดอะไรขึ้นเมื่อเปาโลตระหนักว่าชายคนนั้นมีความเชื่อที่จำเป็นต่อการได้รับการรักษาโรค เขาจึงสั่งหรือบอกให้ชายคนั้นลงมือกระทำอะไรบางอย่าง เพราะว่า “ความเชื่อที่ปราศจากการประพฤตินั้นก็ตายแล้ว” เปาโลไม่ต้องการให้ชายคนนั้นมีความเชื่อที่ตายไปแล้วแต่เป็นความเชื่อที่ยังชีวิตอยู่ เขากำลังทำอะไรบางอย่างที่ ออรัล โรเบิร์ตส์ ทำจนมีชื่อเสียงในเวลาต่อมา ออรัล โรเบิร์ตส์ เรียกมันว่าจุดเชื่อมต่อ เขากล่าวว่าสิ่งสำคัญคือต้องให้เวลาผู้คนในการปลดปล่อยความเชื่อ อาจเป็นได้เมื่อคุณวางมือบนพวกเขาและพูดว่า “คุณหายดีแล้ว จงรับเอาเดี๋ยวนี้” จำเป็นต้องมีจุดลงมือกระทำการในขณะที่บุคคลนั้นกำลังปลดปล่อยความเชื่อออกมา เป็นการกระตุ้นความเชื่อที่อยู่ภายในตัวพวกเขาขึ้น พระเยซูทรงทำเช่นนี้ สาวกของพระองค์ก็ทำเช่นนี้ด้วย

เปโตรกับยอห์นเห็นคนง่อยอยู่ที่ประตูงาม เขาคาดว่าจะได้รับของบริจาคจากพวกเขา เปโตรให้เวลาเขาสักครู่เพื่อปลดปล่อยความเชื่อ – โอกาสที่จะฝึกใช้ความเชื่อของเขา แม้ว่าชายผู้นี้ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับการรักษาโรค แต่เขาก็ “คาดหวังว่าจะได้รับบางอย่างจากพวกเขา” แต่เปโตรจ้องไปที่ชายคนนั้นและกล่าวว่า “เงินและทองเราไม่มี แต่ที่เรามีเราให้แก่ท่าน ในพระนามของพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธ จงลุกขึ้นเดินเถิด” คำพูดนั้นไม่เพียงพอด้วยตัวของมันเองในสถานการณ์แบบนี้ ฉบับแปลฉบับหนึ่งกล่าวว่า “และดึงชายคนนั้นขึ้นด้วยมือขวา” ดังนั้นชายคนนั้นจึงคาดหวังบางอย่าง และเปโตรบอกสิ่งที่เขาจะได้รับและให้ความช่วยเหลือแก่เขา ทันใดนั้น ความพยายามตามธรรมชาติที่จะทำให้ชายคนนี้ลุกขึ้นมา กลายเป็นพลังเหนือธรรมชาติ พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า “เท้าและกระดูกข้อเท้าของเขาเกิดความแข็งแรงทันที”

แล้วคนๆ นั้นจะได้รับความเชื่อเพื่อการหายโรคได้อย่างไร? เมื่อเรากลับไปที่การรักษาโรคที่เกิดขึ้นในเมืองลิสตรา ในกิจการ 14:9-10 นั้น คุณต้องย้อนกลับไปดูข้อที่ 7 ซึ่งกล่าวว่า “และเปาโลประกาศข่าวประเสริฐที่นั่น” ข่าวประเสริฐคืออะไร? 1 โครินธ์ 15 ให้คำจำกัดความของข่าวประเสริฐว่าเป็นการสิ้นพระชนม์ การฝังไว้ และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู ซึ่งมีคนเห็นมากกว่าห้าร้อยคนและนักเทศน์เองก็มีประสบการณ์ถึงเรื่องนี้ในทางใดทางหนึ่ง โรม 10 กล่าวว่า “แต่พวกที่ยังไม่เชื่อในพระองค์ จะทูลขอต่อพระองค์ได้อย่างไร? และพวกที่ยังไม่ได้ยินถึงพระองค์ และถ้าไม่มีใครใช้พวกเขาไป เขาจะไปประกาศได้อย่างไร” เราได้รับคำบอกเล่าในโรม 10:17 ว่า “ดังนั้นความเชื่อจึงเกิดจากการได้ยินและการได้ยินโดยพระวจนะของพระคริสต์” ฉบับคิงเจมส์แปลผิดว่า “ความเชื่อเกิดจากการได้ยินและการฟังโดยพระวจนะของพระเจ้า” ไม่ใช่คำว่า "พระเจ้า" ในที่นี้ เป็นคำภาษากรีก คริสตอส ซึ่งแปลว่า "พระคริสต์" เสมอ สิ่งนี้เปลี่ยนแปลงทุกอย่างหมด ไม่ใช่แค่การได้ยินสิ่งใดในพระคัมภีร์ที่ก่อเกิดความเชื่อแก่เราว่าจะได้รับความรอดและการรักษาโรค (อีกอย่าง คำว่า "รอด" ดังที่เราได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ หมายถึง "รอดจากบาป หายจากความเจ็บป่วย ไม่มีอะไรขาดหายหรือแตกหัก" หมายถึง "หายดีและสมบูรณ์ในทุกๆ ด้าน") อะไรทำให้เรามีความเชื่อได้เช่นนั้น? มันคือข่าวประเสริฐ เป็นเนื้อหาบรรยายถึงสิ่งที่พระเยซูทรงกระทำเพื่อเรา

พระเยซูทรงทำอะไรบ้าง? พระเยซูทรงรับเอาความบาปทั้งหมดไป ซึ่งเปิดช่องให้ซาตานเข้ามาทำร้ายชีวิตเราได้ และพระองค์แบกรับเอาโรคทุกอย่างมาไว้บนพะรองค์ที่ไม้กางเขน อิสยาห์ 53:5 กล่าวว่า “โดยรอยแผลเฆี่ยนของพระองค์ เราจึงหายดี” 1 เปโตร 2:24 กล่าวว่า “เราได้รับการรักษาให้หายโดยบาดแผลของพระองค์” ในพันธสัญญาเดิม ยังคงเป็นไม้กางเขนของพระคริสต์ที่ทำให้พวกเขาหายดี พวกเขาได้รับการรักษาให้หายเพราะสิ่งที่พระองค์จะทรงกระทำ เราได้รับการรักษาให้หายเพราะสิ่งที่พระเยซูทรงทำ พระกิตติคุณสอนว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระองค์ทรงทำอะไรบนไม้กางเขน? คำว่า "หายเป็นปกติ" ใน 1 เปโตร 2:24 นั้น เราไม่เคยพบแม้แต่ครั้งเดียวว่า เป็นการรักษาให้หายในฝ่ายวิญญาณ คำว่า "หายเป็นปกติ" ใช้เพื่อหมายถึงการรักษาทางกายภาพ 100 เปอร์เซ็นต์ในทุกครั้งที่ใช้คำนี้ในพันธสัญญาใหม่ อิสยาห์พูดถึงไม้กางเขนว่า “แน่ทีเดียว พระองค์ทรงแบกความเจ็บป่วยของเราและหอลเอาความเจ็บปวดของเราไป” พระเยซูทรงแบกรับความเจ็บป่วย ความเจ็บปวด และความบาปของทั้งโลกไว้กับพระองค์บนไม้กางเขน พระเยซูสิ้นพระชนม์ และทรงถูกฝังไว้ ในวันที่สาม พระเยซูทรงฟื้นขึ้นจากความตาย เมื่อพระองค์เป็นขึ้นมานั้น พระองค์ก็ทรงประทานชีวิตและการรักษาแก่ทุกคนที่ร้องออกพระนามของพระองค์และเชื่อในข่าวประเสริฐ

เราได้ประกาศพระกิตติคุณที่เรียบง่ายนี้ไปทั่วโลก เราได้เห็นคนตาบอดมองเห็นได้ คนง่อยเดินได้ คนหูหนวกได้ยินเมื่อเราเทศนาและจับมือคนป่วยดังที่เราได้รับคำสั่งให้ทำในพระมหาบัญชา ปัจจุบันเราอาศัยอยู่ในประเทศไทย ดังที่เราได้พูดหลายครั้งและยังคงอ้างอิงอยู่บ่อยครั้ง เรามีความยินดีที่ได้ไปทำพันธกิจที่บ้านขัวมุง มีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังคิดจะวางยาทุกคนในครอบครัว ทั้งตัวเธอเอง สามีของเธอ และสมาชิกในครอบครัวของเธอรวมเจ็ดคน เธอเจ็บปวดมาเป็นเวลาสองปีหลังจากเกิดอุบัติเหตุและไม่สามารถยกแขนขึ้นได้ เธอไม่สามารถทำผมหรือแต่งตัวได้เอง ต้องพึ่งพาคนอื่นตลอด สามีของเธอตกงาน และเงินทั้งหมดของเธอถูกใช้ไปกับการเลี้ยงดูครอบครัว เธอมองไม่เห็นทางออกใดๆ ก่อนคริสต์มาสในปี 2019 เราไปแจกของขวัญแก่ชุมชนที่ไม่มีใครไปถึงนี้ และแบ่งปันพระกิตติคุณของพระเยซูกับทุกคนที่จะยินยอม เราอธิษฐานเผื่อหลายคน ในเวลาต่อมาเธอกล่าวว่าเธอนึกถึงพระกิตติคุณทั้งคืน เธอเริ่มร้องเรียกหาพระเยซูคริสต์ เธอร้องไห้ทั้งคืน พระกิตติคุณที่ทำให้เธอเกิดความเชื่อว่าพระเยซูสามารถรักษาและปลดปล่อยเธอได้ คืนที่สองหลังจากได้ยินพระกิตติคุณ มีชายคนหนึ่งปรากฏตัวในความฝันของเธอพร้อมกับของขวัญ เธอใช้แขนที่ไม่ดีของเธอเพื่อรับของขวัญนั้น จากนั้นเมื่อเธอตื่นจากความฝัน เธอก็หายเป็นปกติ เธอเริ่มร้องไห้ให้กับทุกคนในครอบครัว นี่คือหลักฐานว่าพระเยซูทรงพระชนม์อยู่จริงๆ ข่าวเรื่องนี้ลือกันไปทั้งหมู่บ้าน มีหลายคนมาเชื่อในพระคริสต์ เรามีคริสตจักรบ้านเกิดขึ้นสามหลัง และกำลังจะมีคริสตจักรที่สี่ เธอไม่ใช่คนเดียวที่ได้รับปาฏิหาริย์ มีการอัศจรรย์ในการรักษาโรค และการจัดเตรียมเลี้ยงดูของพระเจ้ามากพอๆ กับพระพรด้านความรอด คำพยานนี้และเรื่องอื่นๆ แสดงให้เห็นว่าพระเยซูทรงพระชนม์อยู่ ผมไม่เคยเข้าใจว่าทำไมคริสเตียนสายยุตินิยมจึงไม่ต้องการการอัศจรรย์เพื่อพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า อัครสาวกต้องการอัศจรรย์เพื่อพิสูจน์ว่าคำสอนของพวกเขาเป็นความจริง แต่อย่างไรก็ตาม เราคิดว่าเราดีกว่าพระเยซูและอัครสาวก และเราจะประกาศพระกิตติคุณโดยไม่ต้องมีการอัศจรรย์ เพื่อจะได้ผลลัพธ์เช่นเดียวกับคนเหล่านั้นหรือ ไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย นี่คือเหตุผลที่ข่าวประเสริฐที่แท้จริงมักจะมีการอัศจรรย์เกิดขึ้นตามมาอยู่เสมอ ลองอ่านข้อความนี้จากพระกิตติคุณของมาระโก:

พวกสาวกจึงออกไปเทศนาสั่งสอนทุกแห่งหน และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงร่วมงานกับพวกเขาและทรงสนับสนุนคำสอนของพวกเขา ด้วยการให้มีหมายสำคัญประกอบคำสอน (มาระโก 16:20)

พวกเขาดีกว่าเราหรือไม่? เราดีกว่าพวกเขาหรือไม่? ในบางด้านเราอาจบอกว่าเราดีกว่าพวกอัครสาวกสิบสองคน หากพวกเขาต้องการหมายสำคัญและการอัศจรรย์ เพื่อยืนยันคำสอนของพวกเขา ส่วนเรานั้นไม่ต้องการเพราะเรามีพระคัมภีร์ไบเบิลครบเล่ม พวกเขาก็มีพระคัมภีร์ด้วย และจนถึงตอนปลายพระธรรมกิจการ 28 เปาโลก็ยังคงทำการอัศจรรย์ หลังจากพระคัมภีร์ใหม่ส่วนใหญ่ถูกเผยแพร่ออกไปแล้ว ความเชื่อในการรักษาโรคมาจากการได้ยินสิ่งที่พระเยซูทรงกระทำ – ไม่ใช่แค่บนไม้กางเขนเท่านั้น แต่พระวจนะและพระชนม์ชีพของพระองค์คือสิ่งที่เสริมสร้างความเชื่ออันยิ่งใหญ่ ผมขอแนะนำให้ท่านอ่านพระกิตติคุณสี่เล่มกับพระธรรมกิจการ ถูกแล้ว พระเยซูทรงทำการอัศจรรย์ต่อไปในกิจการ พระคัมภีร์กล่าวในกิจการ 1 ว่าเมื่อลูกาเขียนเรื่องราวชุดแรก (หนังสือลูกา) เกี่ยวกับทุกสิ่งที่พระเยซูทรงเริ่มกระทำและสั่งสอน แต่ขณะนี้เขาสอนต่อถึงสิ่งที่พระเยซูทรง และทำการอัศจรรย์ของพระเยซูในขณะที่เขียนบันทึกเรื่องราวของคริสตจักร คริสตจักรคือพระกายของพระคริสต์ เราสานงานของพระองค์ต่อ เป็นของประทานที่พระองค์มอบให้คริสตจักร เป็นพระวิญญาณของพระองค์ที่พระองค์ประทานให้แก่คริสตจักร เรื่องราวของพระองค์ในพระกิตติคุณทั้งสี่และพระธรรมกิจการสามารถสร้างความเชื่อให้หายโรคได้ อ่านเลย ใคร่ครวญเรื่องราวต่างๆ ใคร่ครวญถึงไม้กางเขน การตาย การฝัง และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ เพราะเมื่อพระเยซูทรงเอาชนะความบาป ความเจ็บป่วย และความตาย คุณจะชนะด้วย จงเชื่อว่าคุณได้รับแล้ว และมันจะเป็นของคุณ มาระโก 11:24
คำถามนี้คล้ายกับคำถามที่ 3; อย่างไรก็ตาม ผมรู้สึกว่ามันเป็นคำถามที่แตกต่างออกไป คำถามแรกที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันคือ “เหตุใดผู้ที่มีความเชื่อมากจึงไม่ได้รับการรักษาให้หาย” คำตอบค่อนข้างตรงไปตรงมาจากพระคัมภีร์ เราชี้ให้เห็นแล้วว่าเพียงเพราะดูเหมือนว่าคนๆ หนึ่งมีความเชื่อ ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขามีเชื่อในการรักษาโรคจริง เราชี้ให้เห็นว่าความเชื่อที่ปราศจากการประพฤตินั้นก็ตายแล้ว ดังนั้น คุณอาจมีความเชื่อหมดทั้งโลกนี้ แต่ถ้าคุณไม่ลงมือปฏิบัติตามอย่างใดอย่างหนึ่ง ความเชื่อก็ไม่เป็นประโยชน์ใดๆ แก่คุณ ดังที่ยากอบสอนไว้ว่า “ความเชื่อเพียงลำพังก็ตายแล้ว” และ “ร่างกายที่ปราศจากวิญญาณก็ตาย ความเชื่อที่ปราศจากการประพฤติก็ตายแล้วเช่นกัน” เรายังพูดถึงความจริงที่ว่าบางคนยอมแพ้ก่อนได้รับพรตามพระสัญญา เรายกคำอุปมาเรื่องผู้พิพากษาที่ไม่ยุติธรรม และการที่เราต้องอธิษฐานเสมอและไม่อ่อนระอาใจ คำถามนั้นแม้จะคล้ายกัน แต่ก็ต่างกันมาก มีคนถามว่าเหตุใดคนซึ่งเปี่ยมด้วยความเชื่อจึงไม่ได้รับการรักษาโรคในบางครั้ง คำถามนี้กำลังถามว่า เป็นไปได้ไหมที่จะมีความเชื่อมากมายที่จะรับเอารักษาโรคได้ แต่ก็ยังไม่ได้รับการรักษาจากพระเจ้า? มันมีใจความสำคัญที่ต่างออกไปจากคำถามข้อก่อนหน้า เราเอ่ยไปแล้วว่า บางคนที่มีความเชื่อมากมักจะไม่ได้รับการรักษาด้วยเหตุผลที่กล่าวข้างต้น แต่คำถามในทำนองนี้ จำเป็นต้องพิจารณาให้ละเอียดยิ่งขึ้น ผมต้องการเน้นที่ส่วนสุดท้ายของคำถาม: เป็นไปได้ไหม ที่คนซึ่งมีความเชื่อมากมายพอที่จะหายโรคได้ แต่กลับไม่ได้รับสิ่งที่พวกเขาหรือเธอต้องการจากพระเจ้าไม่? เรื่องนี้เป็นไปได้จริงไหมเมื่อเรามีความเชื่ออย่างแท้จริงในพระเจ้า

คำตอบที่ชัดเจนแฝงอยู่ในคำถามอยู่แล้ว หลายคนล้มเหลวในการรับพระสัญญาเรื่องการรักษาโรคหรือพระสัญญาอื่นๆ แม้ว่าพวกเขาจะมีความเชื่อที่แท้จริง แม้ว่าพระพรเหล่านั้นจะเป็นสิทธิอันชอบธรรมของพวกเขาอยู่แล้วในฐานะที่เป็นบุตรของพระผู้เป็นเจ้า เราค้นพบเรื่องนี้ในคำถามข้อที่ 3 แต่เราเจาะลึกเรื่องนี้ในตอนนี้ ผมไม่แสร้งบอกว่าข้อต่อไปนี้เป็นเรื่องไม่ซับซ้อนเพราะมันซับซ้อนจริง พวกเขาใช้คำว่าไม่เชื่อฟัง ไม่เชื่อ หรือสงสัยแบบสลับกันไปมาได้ แต่ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้เกี่ยวกับการที่พระเจ้าทรงสัญญาบางอย่างกับคนของพระองค์และบางคนไม่ได้รับเพราะพวกเขาไม่ได้ผสมความเชื่อเข้ากับพระสัญญา และกลุ่มที่สองที่ไม่ได้รับประโยชน์ เพราะพวกเขาไม่เชื่อฟัง เราจะเน้นสิ่งนี้ในบทเรียนตอนนี้ เป็นความจริงที่ว่าหากไม่มีความเชื่อ คุณไม่สามารถรับสิ่งใดๆ จากพระเจ้าได้เลย ยากอบกล่าวไว้แบบนี้ ท่านบอกว่าถ้าเราสงสัย เราไม่ควรคาดหวังที่จะได้รับสิ่งใดจากพระเจ้า อย่างไรก็ตาม ในข้อต่อไปนี้ เราเห็นว่าหลายคนไม่ได้รับเพราะพวกเขาไม่เชื่อฟังพระเจ้า เกี่ยวกับเรื่องนี้ผมมีอะไรมากมายที่จะอยากพูด คุณอาจจะไม่ชอบมันทั้งหมด แต่เราจะยึดติดกับสิ่งที่พระคัมภีร์กล่าวไว้เท่านั้น ไม่ใช่ความคิดเห็นของผมเกี่ยวกับพระคัมภีร์

ฉะนั้นเมื่อพระสัญญายังมีอยู่ว่าจะให้เราเข้าสู่การหยุดพักของพระองค์ ก็ให้เราทั้งหลายระมัดระวัง มิฉะนั้นอาจจะมีบางคนในพวกท่านไปไม่ถึง เพราะว่าแท้ที่จริง เราได้รับข่าวอันประเสริฐเช่นเดียวกับพวกเขา แต่ข่าวที่ได้ยินนั้นไม่เป็นประโยชน์แก่เขาเหล่านั้น เพราะพวกเขาไม่เชื่อ ส่วนพวกเราผู้ที่เชื่อแล้วก็ได้เข้าสู่การหยุดพัก ดังที่พระองค์ตรัสว่า “ตามที่เราได้ปฏิญาณด้วยความโกรธว่า ‘พวกเขาจะไม่ได้เข้าสู่การหยุดพักของเรา’ ” แม้ว่างานของพระองค์จะเสร็จสิ้นตั้งแต่การสร้างโลก เพราะมีข้อหนึ่งกล่าวถึงวันที่เจ็ดอย่างนี้ว่า “ในวันที่เจ็ดนั้น พระเจ้าทรงหยุดพักการงานทั้งสิ้นของพระองค์” และในข้อนั้นก็กล่าวอีกว่า “พวกเขาจะไม่ได้เข้าสู่การหยุดพักของเรา” ที่จริงยังมีทางให้บางคนเข้าสู่การหยุดพักนั้นได้ แต่คนเหล่านั้นที่ได้ยินข่าวประเสริฐคราวก่อนไม่ได้เข้า เพราะพวกเขาไม่เชื่อฟัง ดังนั้นพระองค์จึงทรงกำหนดไว้อีกวันหนึ่งคือ “วันนี้” ตามที่พระองค์ตรัสทางดาวิดในเวลาหลายปีต่อมา ถึงข้อที่เคยอ้างมาแล้วว่า “วันนี้ถ้าท่านทั้งหลายได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ อย่าให้จิตใจของท่านดื้อรั้น” เพราะหากโยชูวาให้พวกเขาเข้าสู่การหยุดพักนั้นแล้ว พระเจ้าก็คงไม่ตรัสในภายหลังถึงวันอื่นอีก ฉะนั้นจึงยังมีการหยุดพักสะบาโตสำหรับประชากรของพระเจ้า เพราะว่าคนใดที่ได้เข้าสู่การหยุดพักของพระองค์แล้ว ก็ได้หยุดพักจากงานของตนเอง เหมือนอย่างที่พระเจ้าได้ทรงหยุดพักจากพระราชกิจของพระองค์ เพราะฉะนั้น ขอให้เราพยายามเข้าสู่การหยุดพักนั้น เพื่อจะไม่มีคนหนึ่งคนใดพลาดไปทำตามอย่างคนที่ไม่เชื่อฟังเหล่านั้น เพราะว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นมีชีวิตและทรงพลานุภาพอยู่เสมอ และคมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุกระทั่งแยกจิตและวิญญาณ ทั้งข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย (ฮีบรู 4:1-12)

ในข้อนี้ จะเป็นการง่ายมากที่จะเจาะลึกถึงความหมายเชิงศาสนศาสตร์ที่ลึกซึ้งและครบถ้วนของข้อนี้ และส่วนหนึ่งของผมก็อยากทำเช่นนั้นมาก แต่คงไม่เป็นประโยชน์สำหรับพวกคุณหลายคน ผมต้องการให้สิ่งที่เป็นเหมือนหัวใจของข้อนี้บอกแก่คุณ ในลักษณะที่จะช่วยให้คุยสามารถรับความจริงที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตของคุณ และเริ่มเดินในสันติสุขที่แท้จริงโดยรู้ว่าพระราชกิจทั้งปวงของพระเจ้าได้เสร็จสิ้นลงตั้งแต่การวางรากฐานของโลกไปแล้ว

เขาเริ่มต้นด้วยการบอกว่ายังมีการพำนักอยู่สำหรับประชากรของพระเจ้า ในขณะที่คุณอ่านฮีบรูบทที่สี่ต่อไป หัวข้อหนึ่งก็เกิดขึ้น: พระเจ้าทำงานเสร็จแล้ว เมื่อสิ้นสุดการเนรมิตสร้าง พระองค์จึงทรงหยุดงานของพระองค์ และวันสะบาโตมีขึ้นเพื่อมนุษย์ มนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาสำหรับวันสะบาโต มันไม่ควรเป็นเรื่องบังคับให้คนต้องหยุดทำงานหนึ่งวันในแต่ละสัปดาห์ แม้จะเป็นเรื่องดีที่ควรกระทำ เขาสอนเรียบง่ายว่า จุดประสงค์ของวันสะบาโตเป็นเรื่องฝ่ายวิญญาณ เราต้องหยุดจากการงานของเราเช่นเดียวกับที่พระเจ้าทรงหยุดงานของพระองค์ในวันสะบาโต มันไม่เกี่ยวกับการทำงาน แต่เกี่ยวกับการพำนัก ไม่ใช่จากการทำงานหนัก แต่จากการพยายามทำให้พระเจ้าพอพระทัยด้วยการกระทำของเรา นอกจากนี้ พระเยซูตรัสว่า “สำเร็จแล้ว” นี่เป็นครั้งที่สองที่พระเจ้าทรงพำนัก แต่แท้จริงแล้วงานนี้ทำมาก่อนการวางรากฐานแผ่นดินโลก พระเยซูถูกเรียกว่า

“พระเมษโปดกที่ถูกปลงพระชนม์ก่อนการสร้างโลก” ดังนั้นในตารางเวลาของพระเจ้า พระเยซูสิ้นพระชนม์ก่อนที่โลกจะถูกสร้างขึ้นด้วยซ้ำ ใช่ ผมรู้ มันทำให้จิตใจของสิ่งมีชีวิตที่มีคาร์บอนเป็นองค์ประกอบหลักแบบพวกเรารู้สึกประหลาด เมื่อพระเยซูได้ดำเนินการจนเสร็จสิ้นเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว มันเป็นเพียงผลงานที่พระเจ้าทำสำเร็จแล้วก่อนที่พระองค์จะทรงสร้างโลกเสียด้วยซ้ำ

พระเจ้าทรงหยุดการงานของพระองค์เพราะก่อนที่พระองค์จะทรงสร้างโลกนั้น – ในมุมมองของพระองค์ ซึ่งอยู่นอกเหนือเวลาและสถานที่ – พระองค์ได้จัดเตรียมพระเยซูไว้สำหรับความบาปของคนทั้งโลกแล้ว สิ่งที่จำเป็นสำหรับความรอดและการรักษาโรคของคนทั้งโลกได้สำเร็จและจบสิ้นไปแล้วเมื่อพระเจ้าสร้างสรรพสิ่งเสร็จในวันที่เจ็ด แต่นี่คือสิ่งที่พระองค์ตรัสไว้

พระองค์ยังคงเปรียบเทียบลูกหลานของอิสราเอลกับเราในตอนนี้ พระองค์ตรัสว่าลูกหลานของอิสราเอลไม่ได้ผสมผสานความเชื่อกับสิ่งที่พระองค์ตรัสไว้ อย่างไรก็ตาม ในฐานะผู้เชื่อ เรามีความเชื่อ ผู้เชื่อทุกคนมีขนาดความเชื่ออย่างน้อยที่สุดแบบพอที่จะทำให้เรารอดได้เมื่อเราได้ฟังข่าวประเสริฐ เนื่องจากคำว่า “รอด” หมายความรวมถึงการรักษาโรคทางร่างกายด้วย เมื่อเราได้รับความรอดแล้ว เรามีความเชื่อในระดับหนึ่งที่จำเป็นสำหรับการรักษาโรค ความเชื่อเป็นปัญหาของพวกเขา แต่ไม่ใช่ปัญหาของเรา ที่จริงแล้ว หากคุณได้รับความรอด แสดงว่าคุณมีความเชื่อของพระเยซูเอง เปาโลกล่าวว่า “ชีวิตที่ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ตอนนี้ ข้าพเจ้าดำเนินชีวิตโดยความเชื่อของพระบุตรของพระเจ้า” และเอเฟซัส 2:8-9 สอนว่าเรา “ได้รับการช่วยให้รอด (รักษาให้หาย) โดยพระคุณผ่านทางความเชื่อ และไม่ใช่จากตัวเราเอง แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า” ดังนั้นความเชื่อแบบที่ทำให้ความรอดซึ่งเพียงพอที่จะรักษาเราให้หาย จึงไม่ได้มาจากการกระทำของเราเอง แต่เป็นของประทาน ไม่ใช่จากงานที่เราเคยทำหรือทำได้ เราได้รับความเชื่อนี้เมื่อเราได้ยินข่าวประเสริฐ (ความเชื่อเกิดจากการได้ยินและการได้ยินโดยพระวจนะของพระคริสต์) เมื่อเราได้ยินเกี่ยวกับพระเยซู การสิ้นพระชนม์ การฝังไว้ และการฟื้นคืนพระชนม์เพื่อชำระบาปและรักษาความเจ็บป่วยของผู้ที่จะเข้ามาเชื่อพระองค์ เราได้รับความรอดและหายเป็นปกติแล้ว

ขอให้สังเกตว่าพระสัญญาในการเข้าสู่สถานที่พำนักนี้ -นี่เป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ และยังคงมีอยู่ในปัจจุบันนี้ พระเจ้าสาบานว่าลูกหลานของอิสราเอลจะไม่ได้เข้าไปในสถานแห่งการพำนักนี้เพราะความไม่เชื่อของพวกเขา แต่ยังคงมีพร้อมอยู่สำหรับเรา เขาบอกให้เราพยายามเข้าสู่การพำนักนี้ ช่างเป็นความขัดแย้งที่แปลกประหลาด มันไม่ใช่การงาน แต่เราต้องพยายามเข้าสู่สถานที่แห่งการพำนักให้ได้ นี่หมายความว่าการโน้มตัวที่จะพำนักในพระสัญญาของพระเจ้าในการรักษาโรคนั้นอาจฟังเหมือนเป็นการสู้รบ แม้ว่าสงครามจะชนะไปแล้วบนไม้กางเขน เนื้อหนังและมารต้องการที่จะต่อต้านการพำนักของเรา เพราะในสถานที่แห่งการพำนักเท่านั้นที่เราสามารถรับเอาพระพรได้ แล้วเราจะพยายามเข้าสู่การพำนักของพระเจ้าได้อย่างไร? เขากล่าวต่อไปว่าถ้าเราไม่พยายามเข้าสู่การพำนัก ก็เท่ากับเรากำลังดำเนินตามแบบแผนของการไม่เชื่อฟังเช่นเดียวกับคนอิสราเอล ซึ่งทำให้พวกเขาไม่ได้เข้าสู่การพำนักของพระเจ้า อีกครั้ง เขากล่าวว่าเราอาจหล่นพ้นไปจากพระสัญญาของพระเจ้าได้ ซึ่งรวมถึงการรักษาโรคด้วย หากเราไม่พยายามเข้าสู่การพำนัก เขาบอกเราทันทีว่าเหตุใดการไม่พยายามเข้าสู่การพำนักจึงทำให้เราพลาดที่จะได้รับในสิ่งที่พระเยซูทรงชำระค่าเพื่อเราไปจนเต็มจำนวนแล้ว หากเราเชื่อพระเจ้า เขาติดตามผลเรื่องนี้โดยกล่าวว่า “เพราะว่าพระวจนะของพระนั้นมีชีวิตอยู่ ทรงพลัง และคมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ” ว้าว! ประเด็นคือพระวจนะของพระเจ้านั่นเอง เราเพียรพยามยามที่จะเข้าสู่การพำนักได้โดย การนำพระวจนะของพระเจ้ามาใช้งานในชีวิตของเรานั่นเอง

พระคัมภีร์บอกเราว่าเมื่อเราหยุดการงานของเราเอง เราก็ได้เข้าสู่การพำนัก เมื่อเราพบพระสัญญาเรื่องการรักษาโรคสำหรับผู้ป่วย ความรอดจากจิตวิญญาณ สันติสุขจากความวิตกกังวล การคืนดีกับพระเจ้า ความปิติยินดีเกินคำบรรยาย และพระสัญญาอันยิ่งใหญ่และล้ำค่าอีกมากมายจากพระผู้เป็นเจ้า เราสามารถนำพระวจนะนั้นมาใช้ โดยการลงมือทำตามและพูดตามพระวจนะนั้น เมื่อเรานำพระวจนะของพระเจ้ามาทำการและฝึกทำตามที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ (การเชื่อฟัง) เท่ากับเรากำลังเพียรพยายามเข้าสู่การพำนักของพระเจ้า นั่นเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมซึ่งเราเข้ารับเอาสถานะใหม่ในพระคริสต์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ตอนนี้เราเข้าใจแล้วว่าเรานั่งกับพระคริสต์เพราะพระวจนะของพระเจ้า เราได้มาเข้าใจแล้วว่าพระเยซูทรงเสร็จสิ้นพระราชกิจของปุโรหิตและของกษัตริย์ เพื่อที่เราจะสามารถนั่งกับพระองค์ในสวรรค์สถาน สูงยิ่งเหนือความเจ็บป่วยทั้งหมด และพระองค์ได้ประทานพลังให้เราเหยียบย่ำฤทธิ์เดชของมารร้าย

โอ แต่มีอีกตอนหนึ่งของพระคัมภีร์ที่ทรงพลังมาก ซึ่งสำแดงให้เราเห็นว่าเหตุใดหลายคนจึงยังไม่ได้รับพระสัญญาของพระเจ้า และมันเป็นส่วนหนึ่งของคำเตือนเพื่อไม่ให้เราพลาดจากพระพรที่ทรงจัดเตรียมให้แก่เราโดยเปล่าๆ เขากล่าวว่า “วันนี้ หากเราไม่ทำให้หัวใจแข็งกระด้างเหมือนที่พวกเขาทำ” ข้อความนี้กำลังกล่าวถึงชนชาติอิสราเอลและว่าพวกเขาได้ทำใจแข็งกระด้างไป เพราะเรื่องต่างๆ รอบตัวกำลังดำเนินไปอย่างเลวร้าย ฟังให้ดี พระคัมภีร์ไม่ได้สัญญาว่าเราจะไม่มีวันถูกโจมตีทางกายภาพ ไม่ได้สัญญาว่าเราจะไม่ต้องเจ็บป่วยอีกเลย ข้อเท็จจริงที่พระคัมภีร์สัญญาไว้เรื่องการรักษาโรคก็คือ เราอาจเจ็บป่วยได้ในบางครั้ง และเราต้องเข้ามารับเอาชุดแพกเกจแห่งพระพรเพื่อการรักษาโรค มีสองอย่างในพระคัมภีร์ตอนนี้ซึ่งอาจเป็นเหตุให้เราหล่นพ้นจากพระสัญญาของพระเจ้าไปได้ หนึ่งคือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับคำว่า วันนี้ และอีกหนึ่งคือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการไม่ทำจิตใจของตนเองให้แข็งกระด้าง

ความเชื่อเป็นเรื่องของบัดนี้เสมอ เราต้องตัดสินใจว่าวันนี้เป็นวันพำนักสำหรับเรา ไม่ใช่พรุ่งนี้ พรุ่งนี้คือความหวัง ความเชื่อคือบัดนี้ วันนี้เป็นวันที่ผมจะยอมรับทุกสิ่งที่พระองค์ทรงจ่ายไปเพื่อให้ผมได้เข้าสู่การพำนัก การรักษาโรค และทุกสิ่งที่พระองค์เตรียมไว้เพื่อเรา วันนี้ทุกอย่างเรียบร้อยดี ประการที่สอง เราไม่ได้ทำให้ใจของเราแข็งกระด้างได้ไป บริบทคือชนชาติอิสราเอลที่เคยผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก และมักจะยั่วยุพระเจ้าและบ่นได้ทุกเรื่องราว พวกเขายั่วยุพระเจ้าในถิ่นทุรกันดาร จึงพลาดไปจากพระพรอันน่าอัศจรรย์จากพระเจ้า นั่นคือ ความสามารถที่จะได้เข้าสู่การพำนัก หยุดจากการงานของพวกเขา และรับเอาทุกอย่างที่พระเจ้าประทานให้แก่เรา

ผมอยากจะปิดท้ายด้วยข้อความที่ลึกซึ้งซึ่งหวังว่าคุณจะเข้าใจได้ ผมหวังว่าคุณจะได้รับข้อนี้ สถานที่พำนักนี้เปรียบเสมือนการอยู่ใต้ร่มเงาของพระผู้ทรงฤทธานุภาพในที่ลี้ลับ ฟังนะครับ คุณพร้อมที่จะฟังประโยคนี้หรือยัง? คุณต้องเข้าใจในข้อนี้ สถานที่แห่งการพำนัก ซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดของการดิ้นรนไขว่คว้าหาทุกสิ่งที่เราต้องการจากพระเจ้า นี่คือการรับเอาทุกสิ่งที่เป็นของๆ คุณในพระคริสต์ การดิ้นรนเพื่อให้ได้มาซึ่งการรักษาโรคจะไม่ทำให้เราหายโรคได้ การเพียรพยายามนี้เกี่ยวข้องพระวจนะของพระเจ้าซึ่งมีชีวิตอยู่และทรงพลัง เมื่อเรายยึดถือพระองค์ตามพระวจนะที่พระองค์ตรัส และนำไปปฏิบัติตาม เท่ากับเรากำลังพยายามโดยการนำเอาพระวจนะของพระองค์ออกมาใช้งาน เรากำลังดิ้นรนโดยการพูดพระวจนะของพระองค์ เชื่อพระวจนะของพระองค์ และปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์ แต่เมื่อเราไปถึงสถานที่พำนักซึ่งเราได้หยุดพยายามแสวงหาความโปรดปรานจากพระเจ้าสำหรับการรักษาโรคหรือพระพรใดๆ ของเรา เท่ากับเราก็พร้อมจะฉวยเอาพระสัญญาทั้งหมดของพระเจ้าไว้แล้ว สถานที่พำนักคือที่ที่เราจะไม่ทำการดีเพื่อทำให้พระเจ้าพอพระทัยอีกต่อไป แต่ได้พักผ่อนในการงานที่สำเร็จแล้วของไม้กางเขนของพระเยซู และการที่พระบิดาทรงพักผ่อนจากพระราชกิจทั้งหมดของพระองค์ การเปิดเผยสำแดงซึ่งเราไม่ได้พยายามทำให้พระเจ้าเคลื่อนไหวนั้นมีพลังมาก เรากำลังพยายามเคลื่อนพระเจ้า แต่พระองค์ทรงเคลื่อนไหวเพื่อเราแล้ว พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้เราแล้ว พระองค์ทรงทำการเพื่อเราแล้ว โดยรอยแผลเฆี่ยนของพระองค์ เราได้รับการรักษาให้หายแล้ว (1 เปโตร 2:24) คำว่า “หายแล้ว” นี้ไม่ใช่คำศัพท์ที่หมายถึงการรักษาทางฝ่ายวิญญาณ มีการใช้คำนี้อยู่หลายครั้งและทุกๆ ครั้งจะเกี่ยวกับการรักษาโรคทางกายภาพเสมอ อิสยาห์พยากรณ์เกี่ยวกับพระเยซูที่สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อบาปและความเจ็บป่วยของเรา ท่านกล่าวว่าโดยบาดแผลของพระองค์ เราได้รับการรักษาให้หายแล้ว (ปัจจุบันกาล) นี่คือก่อนที่จะเกิดการตรึงบนไม้กางเขนเกิดขึ้น ในฐานะผู้เชื่อในพันธสัญญาเดิม อิสยาห์กำลังบอกว่าเราหายโรคเพราะรอยแผลที่พระเยซูกำลังจะได้รับในอนาคต แต่เปโตรหันกลับไปมองที่ไม้กางเขนในอดีตและเปลี่ยนถ้อยคำใหม่ เขากล่าวว่า "โดยรอยแผลเฆี่ยนของพระองค์ เราได้รับการรักษาให้หายแล้ว" นี่เป็นอดีตกาล ดังนั้นเมื่อเราเข้าถึงสถานที่พำนัก ได้นั่งในสวรรคสถานและซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้าแล้ว เราจึงไม่ได้พยายามทำให้พระเจ้าเคลื่อนไหวเพื่อเรา แต่เรากำลังพำนักในความจริงที่ว่าพระองค์ได้ทรงเคลื่อนไหวอย่างเต็มที่เพื่อเราแล้ว เราไม่ได้พยายามชักจูงให้พระองค์ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอีก พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมทุกอย่างที่เราต้องการไว้แล้ว มันสำเร็จแล้วจริงๆ เราหายดีแล้วตั้งแต่เมื่อ 2,000 ปีก่อน การงานสำเร็จไปแล้ว แล้วเราจะต้องทำอย่างไร? พำนัก ให้เราเข้าสู่สถานที่พำนักนี้ ที่ซึ่งการงานทุกอย่างได้สำเร็จแล้ว และเราขอบคุณพระเจ้าที่งานนี้เสร็จสิ้นไปตลอดกาล ความเข้าใจนี้ทำให้เราเกิดสันติสุขและขจัดการต่อสู้ดิ้นรนออกไปจากใจของเรา เราพำนักเพราะเราหายดีแล้วทั้งปัจจุบันและในอดีต เราพำนักเพราะพระองค์ทรงจ่ายราคาให้เราเพื่อเข้าสู่การพำนักนี้

เราพำนักเพราะคนรุ่นก่อนได้พลาดและเปิดโอกาสให้เราเข้าไปสู่การพำนักแทน ผมหยุดดิ้นรนเพื่อให้พระเจ้ายอมรับแล้ว และผมก็พำนักด้วยความวางใจอย่างเต็มที่ อย่าให้เราพลาดจากพระสัญญา ขอให้เรายึดฉวยพระสัญญาเอาไว้ให้เรารับเอา ดังนั้น จึงเป็นไปได้ที่บางคนอาจเต็มไปด้วยความเชื่อแต่ก็ยังไม่ได้รับ? แต่มันไม่จำเป็นเลย ทุกคนสามารถรับเอาได้ มาสู่การพำนักนี้ด้วยกันเถอะ แล้วเริ่มรับเอา เมื่อไหร่ล่ะ? วันนี้ ถ้าท่านจะฟังจะฟังพระสุรเสียงของพระองค์และไม่ทำใจแข็งกระด้างไป
นี่เป็นคำถามที่ยากมากในหลายระดับ แอนดรูว์ ฟาร์ลีย์ เพื่อนคนหนึ่งของผมและเป็นนักเขียนผู้มีชื่อเสียงไม่ได้มาจากภูมิหลังด้านคาริสเมติค ดังนั้นจึงมีแง่มุมที่ต่างไปจากผม ผมเข้าใจเบื้องหลังของเขา แต่มันทำให้ผมงุนงงเสมอ เมื่ออาจารย์สอนพระคัมภีร์ที่เชี่ยวชาญซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในความสามารถในการแยกแยะแจกแจงหัวเรื่องต่างๆ ในพระคัมภีร์แต่ยกเอาการโต้แย้งเชิงปรัชญามาต่อสู้กับหลักฐานทางศาสนศาสตร์ เรื่องนี้ทำให้ผมรับไม่ได้ ถ้าคุณอ่านพระคัมภีร์อย่างตรงไปตรงมาก็ต้องเชื่อว่าพระเยซูได้ทรงแบกรับความเจ็บป่วยทั้งหมดของโลกไว้กับพระองค์แล้ว ซึ่งเป็นการจ่ายราคาเพื่อให้ผู้เชื่อทุกคนได้รับการรักษาโรคให้หายแล้ว แล้วดรูว์เพื่อนของผมกลับมาสู่เรื่องนี้อย่างไร? ทางประสบการณ์ เขาทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บป่วยบางอย่างที่เขาเปิดเผยไปแล้ว จึงไม่เป็นไรที่จะเอ่ยถึง ข้อโต้แย้งของเขาเป็นเรื่องเก่าไปแล้ว เขาเป็นผู้นำคนหนึ่งในการสอนเรื่องพระคุณในยุคปัจจุบันนี้ ถึงแม้เขาจะเลือกสอนนอกแวดวงกลุ่มคาริสเมติคซึ่งยอมรับคำสอนของเขาอยู่แล้วเรื่องพระคุณ แต่ก็มีหลายคนเลิกเชิญเขาไปสอนในการประชุมเนื่องจากเขายอมรับเรื่องการรักษาโรคและการพูดภาษาแปลกๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาเชื่อว่าเป็นประโยชน์ที่คริสตจักรจะได้รับจากการเชื่อในพระคริสต์อยู่แล้ว

แอนดรูว์สอนเช่นเดียวกับผมว่าพระเยซูทรงชดใช้ความบาปของเราแล้ว ครั้งเดียวเป็นพอ ที่บนไม้กางเขนนั้น ก่อนที่ผมจะเกิด พระเยซูทรงแบกความบาปทั้งหมดที่ผมเคยทำต่อพระองค์เองที่ไม้กางเขน เรื่องลบล้างความคิดเรื่องการรอดแล้วหลง แล้วกลับมารอด และก็หลงหายไปอีก – บางครั้งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในวันเดียวกัน พระคัมภีร์สอนว่าพระเยซูทรงทำพระราชกิจของมหาปุโรหิตบนไม้กางเขนครั้งเดียวเป็นพอ จากก็ประทับลงที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าและไม่ทำพระราชกิจใดอีก ดร.แอนดรูว์สอนว่าเมื่อเราวางใจในพระคริสต์ ก็เท่ากับเรารับเอาทุกสิ่งที่พระเยซูทรงทำมาเป็นของเรา เขากล่าวว่าเราได้รับการให้อภัยทุกอย่างที่จำเป็น ความบาปทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตล้วนตกอยู่กับพระเยซู ดังนั้นเมื่อเราเชื่อในพระเยซู เราจึงได้รับการอภัยอย่างเต็มที่ ในทันทีและตรงนั้นเลย เขาจะโต้แย้งว่า เมื่อเขาได้รับการอภัยบาปในทันที การรักษาโรคซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการลบบาป จึงควรเกิดขึ้นกับเราในทันที ทั้งโรคที่เคยเป็น โรคที่เป็นอยู่ และโรคใดๆ ที่เราอาจเกิดขึ้นกับเรา หากการรักษาโรคเป็นส่วนหนึ่งของการลบบาปที่รับเอาได้โดยความเชื่อ เราก็ควรจะหายโรคได้ในลักษณะเดียวกันกับที่เราได้รับการอภัยบาปนั่นเอง

นั่นเป็นข้อโต้แย้งเชิงปรัชญาที่น่าอัศจรรย์ และมันเข้ากันได้ดีกับการชอบหาเหตุผลของมนุษย์ แต่มันยังไม่สอดคล้องกับพระคัมภีร์ มีหลายสิ่งที่พระธรรมอิสยาห์ 53 ซึ่งถือว่าเป็นบทตอนที่กล่าวถึงการลบบาปไว้มากที่สุดในพระคัมภีร์ ซึ่งยังไม่ได้เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของเราแม้ว่าเราจะเชื่อตามนั้นก็ตาม ตัวอย่างเช่น ในอิสยาห์ 53:4 พระคัมภีร์กล่าวว่า “แต่พระองค์ถูกแทงเพราะการละเมิดของเรา พระองค์ฟกช้ำเพราะความชั่วช้าของเรา การตีสอนที่ตกอยู่บนพระองค์นั้นทำให้เราได้รับสันติสุข และด้วยรอบแผลเฆี่ยนของพระองค์ เราจึงได้รับการรักษาให้หายดี” หลายคนเชื่อทั้งสี่เรื่องนี้ แต่พวกเขาเชื่อว่า "การหายดี” หมายถึงการรักษาเยียวยาทางฝ่ายวิญญาณ และ "สันติสุข" คือสันติสุขกับพระเจ้า สองเรื่องแรกชัดเจนอยู่ในตัวแล้ว การล่วงละเมิดและความชั่วช้าของเราได้รับการจัดการดูแลแล้วโดยไม้กางเขน ไม่มีใครโต้แย้ง แต่สันติสุขล่ะ? มันมาจากคำว่าชาโลม ซึ่งเทียบเท่ากับภาษากรีกคำว่า โซโซ ที่แปลว่า “รอดจากบาป หายจากโรคภัยไข้เจ็บ หายเป็นปกติในทุกด้านทุกทาง” คําภาษาฮีบรู ชาโลม หมายความว่า “สันติสุข สมบูรณ์พูนสุขในทุกด้าน” แต่พระเยซูและเหล่าสาวกไม่ได้เทศนาจากพระคัมภีร์ฮีบรู ทุกคนใช้ฉบับกรีกเซปตัวจินต์ ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ถึงความหมายดีว่ากำลังพูดอะไรเมื่อยกถ้อยคำเหล่านี้มาพูด เมื่อเปโตรอ้างอิสยาห์ใน 1 เปโตร 2:24 ท่านกล่าวว่า “โดยรอยแผลเฆี่ยนของพระองค์ ท่านจึงได้รับการรักษาให้หาย” คำที่ท่านใช้กล่าวถึงการรักษาไม่ได้หมายถึงการรักษาทางฝ่ายวิญญาณ มันเป็นไปไม่ได้ ภาษากรีกที่ใช้สะกดว่า โซโซ่ที่แปลว่า “รอดจากบาป หายจากโรคภัยไข้เจ็บ หายเป็นปกติในทุกด้านทุกทาง” คําภาษาฮีบรู ชาโลม หมายความว่า “สันติสุข สมบูรณ์พูนสุขในทุกด้าน” แต่พระเยซูและเหล่าสาวกไม่ได้เทศนาจากพระคัมภีร์ฮีบรู ทุกคนใช้ฉบับกรีกเซปตัวจินต์ ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ถึงความหมายดีว่ากำลังพูดอะไรเมื่อยกถ้อยคำเหล่านี้มาพูด เมื่อเปโตรอ้างอิสยาห์ใน 1 เปโตร 2:24 ท่านกล่าวว่า “โดยรอยแผลเฆี่ยนของพระองค์ ท่านจึงได้รับการรักษาให้หาย” คำที่ท่านใช้กล่าวถึงการรักษาไม่ได้หมายถึงการรักษาทางฝ่ายวิญญาณ มันเป็นไปไม่ได้ ภาษากรีกที่ใช้สะกดว่า Iaomaiแปลว่า รักษาโรค เยียวยา หรือทำให้หายดี คำนี้ใช้ 28 ครั้งในพันธสัญญาใหม่ อีก 27 ครั้งหมายถึงการรักษาทางร่างกายเสมอ แล้วทำไมจึงใช้ในความหมายอย่างอื่นในครั้งที่ 28 นี้?

สันติสุข ซึ่งอาจแปลได้ว่า ความสมบูรณ์ อาจหมายถึงสันติสุขทั้งทางจิตใจหรือทางร่างกาย ซึ่งผมเห็นด้วย อิสยาห์กล่าวว่าพระเยซูถูกลงโทษเพื่อเราจะได้มีสันติสุข แต่คริสเตียนมีสันติสุขตลอด 24 ชั่วโมงหรือไม่? แน่นอนไม่ เพียงเพราะพระเยซูทรงจ่ายเพื่อให้เรามีสันติสุขตลอดเวลา ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ต้องเจอกับความกลัวและความวิตกกังวลในบางครั้ง เราได้รับคำสั่งให้ละความกังวลของเราไว้กับพระเจ้าเพราะพระองค์ทรงห่วงใยเรา เราได้รับการบอกกล่าวว่า “อย่าวิตกกังวลในสิ่งใด แต่จงอธิษฐานในเรื่องราว... แล้วสันติสุขของพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ จะปกป้องใจและความคิดของเราไว้ในพระคริสต์” อะไรนะ? เราควรมีสันติสุขตลอดเวลามิใช่หรือหากมันเป็นส่วนหนึ่งของการลบบาป? แต่เห็นได้ชัดเจนว่าไม่ใช่ ห็นไหมว่า ดร.แอนดรูว์ ศิษยาภิบาลโจเซฟ ปรินซ์ และคนอื่นๆ อีกหลายคนยังสอนว่าการสารภาพบาปเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นเพื่อให้ได้รับการอภัยบาป ทำไมหรือ? พวกเขาสอนว่าเพราะเราได้รับการอภัยแล้ว ผมก็สอนแบบนี้ แต่มันเป็นความจริงเพียงแค่ครึ่งเดียว เราได้รับการอภัยอย่างเต็มที่ไปแล้วเฉพาะในแง่ที่ว่าพระเยซูทรงชดใช้ความบาปของเราครบเต็มที่แล้ว เนื่องจากพระราชกิจที่พระองค์ได้กระทำสำเร็จแล้ว แต่ส่วนของเราคือต้องดำเนินตามความจริงในเรื่องนี้ เราต้องสารภาพบาปของเรา และพระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงะรรมจะทรงชำระเราให้พ้นจากการความอธรรมทุกอย่าง เพราะหากเราได้รับการชำระให้สะอาดหมดจดไปแล้ว เหตุใดยอห์นจึงเขียนและกล่าวว่าการสารภาพบาปนั้นจะชำระเราให้พ้นจากความอธรรมทั้งสิ้น บางคนจะแย้งว่านี่เป็นเรื่องสำหรับคนที่ยังไม่เชื่อ ผมยอมรับได้ว่ามันใช่สำหรับบทที่ 1 แต่ถ้าคุณอ่านต่อไปก็จะเห็นชัดเจนว่าผู้เขียนกำลังพูดคุยกับผู้เชื่อ การลงโทษนิรันดร์สำหรับบาปของเราได้รับการจัดการไปแล้วบนไม้กางเขน เราไม่สูญเสียความรอดของเราเมื่อเราทำบาป ไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่มีผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นในโลก ตัวอย่างเช่น สำหรับผู้ที่ยังคงทำบาปในฐานะคริสเตียน เราได้รับคำเตือนเรื่องการพิพากษาใน 1 โครินธ์ 11 เรายังได้รับการเตือนว่าจะถูกมอบให้ซาตานทำลายเนื้อหนังในพระคัมภีร์หลายตอน และเราได้คำเตือนว่าสิ่งที่ทำลงไปอาจทำลายความสามัคคีธรรมได้ รัใน 1 ยอห์น มีการใช้คำว่า "สามัคคีธรรม" หลายครั้ง จุดประสงค์ของการสารภาพบาปไม่ใช่เพื่อรักษาความรอดของเรา แต่เพื่อให้ความสามัคคีธรรมของเรากลับคืนมาในเส้นทาง เมื่อเราทำบาป และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเรายังคงแข็งขืนที่จะอยู่ในความบาปต่อไป เท่ากับว่าเรากำลังทำลายความสามัคคีธรรมของเรา พระเจ้าทรงรอคอยอยู่ที่นั่นตลอดเวลา แต่เราเป็นฝ่ายที่ทำลายความสามัคคีธรรมนั้น

ดังนั้นแม้ว่าพระเยซูทรงชดใช้บาปของเราที่ไม้กางเขนครบถ้วนเต็มจำนวนแล้ว ตามที่อิสยาห์ 53 และฮีบรู 8-10 นำเสนอไว้ เรายังคงต้องสารภาพบาปของเราอยู่ดีเพื่อดำรงอยู่ในสามัคคีธรรมอันดีกับพระเจ้าเสมอ แม้ว่าพระเยซูทรงจ่ายราคาเพื่อให้เรามีสันติสุขแล้วในอิสยาห์ แต่เรายังต้องละความห่วงใยไว้กับพระเจ้าและอธิษฐานเผื่อเรื่องต่างๆ ตามแต่สถานการณ์ ต้องรักษาความคิดของเราในสิ่งที่ถูกต้อง มิฉะนั้นเราจะไม่สามารถดำเนินในสันติสุข พระเยซูทรงจ่ายราคาเพื่อให้เรามีสันติสุข แต่เราอาจพลาดไปจากการดำเนินในทางสันติสุขแม้ว่าพระคริสต์จะได้จ่ายราคาชำระไปแล้วก็ตาม ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในอิสยาห์ 53:3 และ 4 นั้น พระเจ้าได้ทรงรวมความเจ็บป่วยและความเจ็บปวดไว้ในสิ่งที่พระเยซูต้องทรงจ่ายราคาเพื่อขจัดออกไปจากชีวิตของเราออกไปเพื่อให้เราหายดี หากคุณมีพระคัมภีร์ฉบับคิงเจมส์เก่า จะมีข้อความว่า “แน่นอน พระองค์ทรงรับความโศกของเราและนำเอาความเศร้าโศกของเราไป” แต่ฉบับแปลที่ใหม่กว่าจะกล่าวว่า “แน่ทีเดียว พระองค์ทรงรับความเจ็บป่วยของเราไป และแบกรับเอาความเจ็บปวดของเรา” นอนในข้อ 4 ท่านกล่าวคำที่เรารู้จักกันดีว่า “และโดยรอยแผลเฆี่ยนของพระองค์ เราจึงได้รับการรักษาให้หายโรคแล้ว” อิสยาห์อยู่ก่อนไม้กางเขน และพระเจ้าตรัสตรงนั้นว่า “เราได้รับการรักษาหายแล้ว(ในขณะนี้)” แต่เปโตรเป็นช่วงหลังจากไม้กางเขนและมองย้อนกลับไป ท่านกล่าวว่า “โดยรอยแผลเฆี่ยนของพระองค์ เราได้รับการรักษาให้หายจากโรคไปแล้ว” นี่เป็นอดีตกาล จบไปเรียบร้อย แต่ก็เช่นเดียวกับที่เราต้องสารภาพบาปเพื่อให้ดำรงอยู่ในความสามัคคีธรรมกับพระเจ้า แม้ว่าความรอดจะเป็นของเราชั่วนิรันดร์ แม้ว่าสันติสุขจะเป็นของเราแล้ว แต่เพราะเราไม่ได้ดำเนินในสันติสุขเสมอไป ในทำนองเดียวกัน พระเยซูทรงจ่ายราคาเพื่อให้เราได้รับการรักษาให้หายโรคทางร่างกาย แต่เราต้องเรียนรู้วิธีจัดการดูแล

มาระโก 11:24 สอนเราว่าเมื่อเราอธิษฐานขอบางสิ่งเราต้อง “เชื่อว่าเราได้รับมันแล้ว จากนั้นเราจะได้รับสิ่งนั้น” ดังนั้นเราต้องเชื่อว่าการรักษาโรคนั้นเป็นของเราอยู่แล้วก่อนที่มันจะปรากฏเป็นจริง พระเยซูถูกเรียกว่า “มหาปุโรหิตแห่งการกล่าวยอมรับด้วยปากของเรา” นี่ไม่ใช่แค่การสารภาพบาปเท่านั้น แต่เป็นการกล่าวยอมรับตามพระวจนะของพระเจ้าด้วย เราต้องพูดพระวจนะของพระเจ้าเหนือชีวิตของเรา ผมเริ่มต้นแบ่งปันถึงเรื่องนี้โดยการเล่าถึงความหมดหวังที่จะมีชีวิตรอด หลังจากติดเชื้อปรสิตที่เลวร้ายในประเทศไทย ตับและไตของผมหยุดทำงาน ผมมีอาการหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ มีไข้ 105.5 หูหนวกและระดับของออกซิเจนลดลงอยู่ขั้นอันตรายต่ำกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ แต่ผมรู้ว่าพระเยซูทรงจ่ายราคาเพื่อให้ผมเพื่อได้รับการรักษาให้หายแล้วที่ไม้กางเขนนั้น คำถามข้อเจ็ดเป็นคำถามที่สำคัญที่สุดที่ต้องตอบให้ถูกต้องก่อนที่คุณจะเข้าสู่ภาวะวิกฤต ใช่ เราต้องรู้ว่านี่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า แต่สิ่งนี้บอกเราว่าทำไมเราถึงรู้ได้ว่านี่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า พระเจ้าทรงวางความเจ็บป่วยไว้บนพระเยซูที่ไม้กางเขนเพื่อที่เราจะหายโรคและมีสุขภาพดี เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะรักษาโรคเพราะพระเจ้าพอพระทัยที่จะทำให้พระบุตรของพระองค์ฟกช้ำเพื่อเห็นแก่เรา ถ้าพระเยซูทรงแบกความเจ็บป่วยแทนเราแล้ว เราก็ไม่จำเป็นต้องทนป่วย เช่นเดียวกับที่เราละความกังวลของเราไว้กับพระเจ้า ก็ให้เราละความเจ็บป่วยของเราไว้กับพระองค์ด้วย ใช่ พระองค์ทรงแบกรับมันไว้แล้ว แต่เมื่ออาการของผมดูเหมือนจะขัดแย้งและบอกผมว่าผมยังไม่หาย ผมต้องทำแบบเดียวกับที่ผมทำเมื่อจิตใจบอกให้ผมวิตกกังวล ผมโยนมันทิ้งไว้ที่พระเจ้าโดยความเชื่อ บนเตียงคนไข้ที่ผมเหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงที่จะมีชีวิตอยู่ ผมป่าวประกาศข้อพระคัมภีร์ทุกข้อเกี่ยวกับการรักษาโรคเท่าที่ผมรู้จนกระทั่งผมฟื้นขึ้นมาอีกครั้งในอีกหกวันต่อมา ในสภาพที่หายเป็นปกติ สิ่งเดียวที่ยังคงค้างอยู่คือเยื่อหุ้มสมองอักเสบซึ่งทำให้พูดไม่ชัดและสูญเสียความจำระยะสั้น แต่ผมไม่ได้โกรธและบอกว่า “พระเจ้าคงจะโกหก พระองค์รักษาไต ตับ หัวใจ ฯลฯ ของผม แต่ผมยังมีเยื่อหุ้มสมองอักเสบอยู่” ไม่ ผมอยู่กับมัน ผมได้รับชัยชนะในการกล่าวยอมรับตามพระวจนะจนความเจ็บป่วยทั้งหมดหายไปตลอดกาล ไม่มีความเสียหายในหัวใจหรือในสมอง มันเหมือนกับว่าผมไม่เคยเป็นโรคหลอดเลือดสมองหรือหัวใจวายเลย วันหนึ่ง หลังจากเก้าเดือนแห่งความทุกข์ทรมานจากโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ผมตื่นขึ้นมาและมันก็หายไปตลอดกาล พระเจ้าสุดยอด พระเยซูทรงเป็นแพทย์ผู้รักษา พระเยซูทรงรักษาคุณแล้วที่ไม้กางเขน จงเชื่อและยืนหยัดมั่นคงในความจริงข้อนี้ ผมจะฝากคำแปลฉบับแพสชั่นของอิสยาห์ 53 ไว้กับคุณ มันเป็นวิธีเขียนที่สวยงาม และผมคิดว่าคุณจะชอบมันมาก ผมหวังว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นพระพรต่อคุณมากมาย

1

ใครหนอเชื่อการเปิดเผยสำแดงของเราอย่างแท้จริง?

พระยาห์เวห์จะทรงสำแดงพระกรอันทรงฤทธิ์ของพระองค์แก่ใคร

2

ท่านงอกขึ้นเหมือนต้นไม้อ่อนต่อพระพักตร์พระเจ้า

เหมือนรากในดินที่แห้งแล้ง

ท่านไม่มีความงามที่โดดเด่น หรือความสง่างามภายนอกเพื่อดึงดูดความสนใจของเรา

ไม่มีอะไรพิเศษในรูปลักษณ์ของเขาที่จะทำให้เราปรารถตัวท่าน

3

ท่านถูกมนุษย์ดูหมิ่นเหยียดหยาม

เป็นบุรุษแห่งความโทมนัส ซึ่งไม่ห่างไกลจากความทุกข์และความเศร้าโศก

เราซ่อนใบหน้าของเราจากท่านด้วยความรังเกียจ

และถือว่าท่านเป็นคนไม่มีค่า ควรแก่การเคารพ

ผู้รับใช้ที่แบกรับความบาป

4

ทว่าพระองค์ทรงเป็นผู้แบกความเจ็บป่วยของเรา

และทรงอดทนต่อความทุกข์ทรมานของเรา

เรามองว่าท่านเป็นคนที่ถูกลงโทษ

สำหรับบางสิ่งที่ท่านทำไป

เหมือนกับผู้ถูกพระเจ้าฟาดลงและถูกทำให้ต่ำลง

5

แต่เป็นเพราะการกระทำที่ดื้อรั้นของเรา ท่านจึงถูกแทง

และเพราะบาปของเราท่านจึงถูกบดขยี้

ท่านต้องอดทนต่อการลงโทษที่ทำให้เราสมบูรณ์

และในบาดแผลของท่านนั้น เราได้รับการรักษาของเรา

6

เช่นเดียวกับแกะที่เอาแต่ใจ เราทุกคนหลงทาง

เราแต่ละคนได้หันจากวิถีของพระเจ้าและเลือกทางของเราเอง

ถึงกระนั้น พระเยโฮวาห์ทรงวาง

ความผิดในบาปทุกอย่างของเราไว้บนท่าน

ผู้รับใช้ที่ยอมจำนน

7

ท่านถูกกดขี่และข่มเหงอย่างรุนแรง

ท่านยังคงอ่อนน้อมถ่อมตนปฏิเสธที่จะปกป้องตัวเอง

ท่านถูกนำตัวมาเหมือนลูกแกะผู้อ่อนโยนที่ถูกฆ่า

เหมือนแกะที่เงียบต่อหน้าคนตัดขนของมัน

ท่านไม่ได้เปิดปากของตนเลย

8

โดยการบีบบังคับและด้วยความบิดเบือนของความยุติธรรม

ท่านถูกนำตัวไป

และใครจะจินตนาการถึงอนาคตของท่านได้

ท่านถูกโค่นลงในช่วงรุ่งโรจน์ของชีวิต

เพราะการกบฏของชนชาติของท่านเอง

ท่านจึงถูกตี แทนพวกเขา

9

พวกเขาให้หลุมศพแก่ท่านท่ามกลางอาชญากร

แต่กลับลงเอยที่หลุมศพเศรษฐีแทน

แม้ว่าท่านมิได้ทรงกระทำทารุณหรือพูดคดโกง

รางวัลของผู้รับใช้

10

แม้ว่าพระยาห์เวห์จะพอพระทัย

ที่จะบดขยี้ท่านด้วยความโศกเศร้า

ท่านจะถูกนำกลับคืนสู่ความโปรดปราน

หลังจากที่วิญญาณของท่านกลายเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป

ท่านจะมองดูลูกหลานของท่านมากมายและยืดอายุของท่าน

และโดยทางท่าน ความปรารถนาอันล้ำลึกของพระยาห์เวห์

ก็จะสำเร็จลุล่วงโดยสมบูรณ์

11

หลังจากความปวดร้าวของจิตวิญญาณของท่าน

ท่านจะเห็นแสงสว่าง และอิ่มหนำสำราญ

โดยรู้จักพระองค์ผู้ชอบธรรม

ผู้รับใช้ของเราจะทำให้คนมากมายเป็นคนชอบธรรม

เพราะเขาผู้แบกบาปของเขาได้นำบาปของพวกเขาไป

12

เราคือพระยาห์เวห์จะแบ่งส่วนให้เขา

ท่ามกลางคนหมู่มาก

และพระองค์จะทรงมีชัย

และแบ่งของที่ริบมาได้แห่งชัยชนะกับผู้ยิ่งใหญ่ของเขา—

ทั้งหมดเพราะเขาหลั่งเลือดแห่งชีวิตไปสู่ความตาย

เขาถูกนับว่าเป็นคนบาปที่เลวร้ายที่สุด

แต่เขาแบกภาระบาปให้กับคนมากมาย

และวิงวอนสำหรับผู้ที่เป็นกบฏ

ขอขอบคุณที่สละเวลาอ่านบทเรียนนี้ ผมหวังว่าคุณจะเพลิดเพลินกับคำสอน พระเจ้าทรงนำผมให้ศึกษาเกี่ยวกับการรักษาโรคเป็นเวลาหนึ่งปีก่อนที่ผมจะประสบกับการเจ็บป่วย แต่บางทีตอนนี้คุณอาจกำลังเผชิญกับความเจ็บป่วยและปัญหาต่างๆ อยู่แล้ว บางทีอาจเป็นสถานการณ์แห่งความเป็นและความตายที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ อย่ายอมแพ้! ฟังสิ่งที่ผมสอน แล้วนำไปปฏิบัติ แล้วพระเจ้าจะเสด็จเข้ามา และสถานการณ์ของคุณสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ในพระนามของพระเยซู!

thไทย